เราคงได้ยินคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” จนชินหู เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็ต้องอ้างเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าไม่อ้างก็กลัวว่าจะเชย และคนทั่วไปจะไม่นิยมไม่เข้าร่วมงาน
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาทางเศรษฐกิจที่ในหลวงของเราได้พระราชทานมานานหลายสิบปี ก่อนที่ฟองสบู่จะแตกเสียอีก แต่ทำไม่เพิ่งจะเฟื่องฟูเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง นี่แหละคนไทยถ้าภัยไม่ถึงตัวก็คงไม่ใช้กันหรอก
จากที่เราได้ยินได้ฟังหรือพบเห็นกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งที่หน่วยงานของรัฐหรือเอกชน องค์กรต่าง ๆ ต่างก็ออกโครงการมามากมายโดยอ้างอิงแนวพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในโครงการ ดูเหมือนจะเป็นคาถาเมตตามหานิยมทำให้คนมาเข้าร่วมกิจกรรมมากมาย และก็เป็นอย่างนี้ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าสำรวจผลสำเร็จของงานเมื่อผ่านโครงการแล้วจะพบว่า
จะมีแต่จำนวนคนเข้าร่วมกิจกรรม แต่การที่จะนำผลการเข้าร่วมกิจกรรมมาใช้ทำจริงและขยายผลอย่างต่อเนื่องนั้นน้อยมาก
ผู้เขียนมองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ผู้ที่จัดทำโครงการมุ่งหวังผลสัมฤทธิ์ในเชิงปริมาณมากกว่าการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับผู้คนในการนำแนวเศรษฐกิจมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันที่แท้จริง เพราะบางอย่างไม่เห็นจำเป็นต้องอ้างเศรษฐกิจพอเพียงสักนิดเดียว เช่น การเรียนรู้ของเด็ก
ซึ่งการเรียนรู้ผู้เขียนเห็นว่าต้องไม่เรียนอย่างพอเพียง ถ้าพอเพียงชาติก็คงจะไม่เจริญแน่นอน ไม่เกิดนักวิทยาศาสตร์ ไม่เกิดหมอ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย
ดังนั้น ควรที่จะหันกับมาทบทวนการปฏิบัติของพวกเรา ว่าเราทำถูกแล้วหรือกับกิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียงต่าง ๆ หรือจะเป็นเพียงแฟชั่นตามกระแสนิยมหาใช่ค่านิยมที่จะปฏิบัติสืบทอดกันต่อ ๆ ไปอย่างยั้งยืนที่ถูกต้อง หรือเราจะยังคงสวดคาถามหานิยมโครงการเศรษฐกิจพอเพียงกันทุกกิจกรรมทั้ง ๆ บางเรื่องมันไม่ใช่ ลองคิดดู.......
น่าอ่านมาก ได้ข้อคิดดีๆด้วย
ขอบคุณที่แวะมาอ่าน และคำติชม นะคะ