ณ บ้านพักขอนแก่น
วันจันทร์ที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔
กราบสวัสดีค่ะครู
ช่วงเวลาที่ได้ยิ้มกับตัวเองกลับมา แปลกจังนะคะ พอได้เริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้มาหลัง ๆ เหมือนติ๋วได้นั่งยิ้มกับตนเองอยู่ภายใน ตื่นเช้ามาแม้หลายอย่างเปลี่ยนไป ติ๋วขึ้นไปนอนที่ห้องพระสละเตียงตั่งให้ลุงหมอน ส่วนห้องข้างบนให้พี่เตี้ยและลูก ๆ ป้าหมอน และแม่นอนข้างล่างเพราะเข้าห้องน้ำสะดวก แต่ละคนจับจองตามแต่ถนัด ส่วนติ๋วมานอนห้องพระ การตื่นขึ้นมาก็เข้าสู่กิจวัตร แต่เสียงข้างล่างจอแจแล้ว เพราะโดยส่วนใหญ่คนที่บ้านติ๋วตื่นเช้าเพราะขายของที่ตลาดตั้งแต่ตีสาม ตีสี่ เกือบ ๆ หกโมงติ๋วจึงลงมา พี่เตี้ยพูดว่า “นอนแล้วปวดหลัง บ้านนี้ไม่มีเบาะ น้ำอุ่นก็ไม่มี” ป้าหมอน (แม่พี่เตี้ย) เอยว่า “อาบน้ำเย็นแหละยิ่งแข็งแรง” แต่พี่เตี้ยก็เริ่มมีน้ำมูก คำพูดของพี่เตี้ยมาช่วยสะกิดใจ ค่ะครู
“จำไม่ได้แล้วว่า ดิ้นรนเพื่อนอนฟูก หรือ ที่นอนตอนไหน”
เพราะดูเหมือนว่า มีอะไรให้นอนก็นอน โดยส่วนใหญ่ก็นอนพื้น หรือ แคร่แข็ง ๆนี่แหละ อย่างดีก็ปูผ้าบาง ๆ สภาวะการดิ้นรนที่จะนอนที่นอนสบาย หายไปจากใจเมื่อไหร่ไม่รู้ รับรู้เพียงว่า “นอนง่าย ๆ ที่ไหนก็ได้ค่ะครู”
เขียนมาถึงตรงนี้ก็รู้สึก “ขำ”
นึกย้อนถึง “ไอ้ติ๋วเมื่อสักสี่ห้าปีก่อน หล่อนต้องรับไม่ได้แน่ ๆ กับสภาพการนอนแบบนี้ แถมหนักกว่านั้น เธอต้องมีเครื่องนอนหมอนมุ้งที่ต้องดูสมเกียรติ ของหล่อน ฮ่า ๆ ๆ”
น่าสงสารไอ้ติ๋วคนนั้นจังเลยค่ะครู
เครื่องทำน้ำอุ่นก็ไม่ติด ตอนที่ย้ายออกจากบ้านพักหลังเก่าก็ไม่ได้แกะออกมา แต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนอะไร เพราะเรียนรู้การอาบน้ำเย็น จะต้มอาบก็เฉพาะที่จำเป็น ก็อยู่ได้สบายดีค่ะครู
หันมองย้อนแล้วก็สะท้อนใจตนเอง ว่า “แปลกจัง เป็นไปได้ยังไงเนี๊ย แต่มันก็เป็นไปแล้วค่ะครู”
สาย ๆ ติ๋วแวะไปที่ทำงานก่อน ญาติไป รพ. ติ๋วกับพี่อ้อ เข้าไปสังเกตการณ์งานซ้อมใหญ่ประกวด อสม. ดีเด่น ขอโอกาสไม่เล่าถึงในบันทึกนี้นะคะครู แต่เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้กับตนเองพอสมควรค่ะ ใกล้ ๆ เที่ยงพี่เตี้ยโทรให้ซื้อกับข้าวไปให้ เพราะลุงได้นอน admit แล้ว ติ๋วกับพี่อ้อจึงปรับแผน ขับรถแวะส่งพี่อ้อแล้วก็ จะไปซื้อกับข้าวแต่พี่โทรมาอีกทีบอกว่า “ได้แล้ว เข้ามากินเฉย ๆ”
ทานข้าวเสร็จภายในติ๋วดิ้นรนอยู่เพราะว่ามีอะไรหลายอย่างที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ เพื่อเตรียมการในการไปสอน อสม.พรุ่งนี้ เป็น onsite training เกี่ยวกับชุดทดสอบให้ เหล่าอสม. กว่า ๓๐ คน ค่ะครู แต่พี่เต็ยก็อยากให้อยู่คุยกับหมอ สุดท้ายมีโทรศัพท์งานเข้ามาจึงต้องออกไปจัดการ เรื่องงาน
ประมาบ่ายสามพี่เตี้ยโทรมาบอกว่า “หมอให้กลับบ้าน ไม่ต้องฉีดสีแล้ว เพราะอาการปกติ หมอยังพูดอีกว่า การฉีดสี มีอาการข้างเคียง อาจจะเป็นอัมพาต หรืออัมพฤกษ์”
ความขุ่นมัวติ๋วพุ่งปี๊ดเลยค่ะครู ว่า
“เอะนี่อะไรกัน ทำไมให้ข้อมูลคนไข้แบบนี้ แล้วการฉีดสีก็เป็นเพียงการหาสาเหตุของโรค....................”
แล้วความคิดด้านลบ และอวดรู้มากมายในตัวติ๋วก็พรั่งพรูออกมา
พอรู้ตัวจึงพยายามจัดการในตนเองก่อน เครียเอกสารที่จะใช้พรุ่งนี้ และใจนิ่งเย็นขึ้นแล้วค่อยออกมา
ระหว่างทางที่ใจติ๋วดีดขึ้นมาคิด ก็รู้สึกไม่ชอบใจค่ะ จึงหาสาเหตุเข้าไป
“เจอความรู้สึก โดดขัดใจ เพราะติ๋วอยากให้หาสาเหตุของโรคของลุงให้ได้ก่อน
จะรักษาหรือไม่รักษาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็มานึกย้อนกับตนเองอีกที
เมื่อตอนที่ร่างกายติ๋วมีอาการผิดปกติ หล่ะ ติ๋วทำยังไง
เลือกที่จะปรับเปลี่ยนตนเอง แทนการรักษา
แล้วมากกว่านั้นก็ไม่ปรารถนาเข้าสู่กระบวนการตรวจเพื่อให้ทราบอย่างชัดเจน
เพราะระลึกว่า “ไม่ว่าจะรู้หรือ ไม่รู้ก็ไม่รักษาตามแผนปัจจุบันอยู่ดี
เลือกที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่แบบเต็มที่ แล้วใช้วิถีของธรรมชาติบำบัดดีกว่า”
มันจึงค่อยเย็นลงค่ะ
พอไปถึง รพ. เจอญาติ เห็นสีหน้าดีใจของแต่ละคน แต่ติ๋วกลับรู้สึกไม่ดีใจไปด้วยค่ะครู
บอกไม่ถูกรู้สึกว่า “อีกเดี๋ยวต้องได้มาหาหมออีกแน่”
แต่ก็เป็นเพียงเสียงที่ดังอยู่ภายใน ไม่ได้เอ่ยออกมาค่ะ
พอมาถึงบ้านพักแต่ละคนก็เก็บของ ติ๋วเดินลงหลังสวนรดน้ำต้นไม้
แล้วก็ปลูกเพิ่ม แล้วใจก็ค่อย ๆ สบายขึ้น จนแม่เรียกทานข้าว
บ้านถูกเก็บเข้าสู่สภาพเดิมค่ะครู ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนดีค่ะ แต่ก็รับรู้กับตนเองว่า
“การอยู่กับคนหมู่มาก เห็นจิตตนเองชัดดี แต่การอยู่คนเดียวก็โล่งสบายแบบคล่องตัวดี”
เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ได้เรียนรู้กับตนเองชัดเจนอีกวัน............รักครูค่ะ
ตอนนี้นีไม้ต้มอาบตอนเย็นแล้วนะ อาบน้ำเย็นๆ
แล้วตัวอุ่นดีอะ (พึ่งค้นพบ)