ตอน ก้าวแรกของการรับราชการ (2)


ตอน ก้าวแรกของการรับราชการ (2)

 

 

 

 

 

 

ตอน ก้าวแรกของการรับราชการ (2)

 

                 ผู้เขียนบรรจุเข้ารับราชการ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2531 ซึ่งเป็นวันข้าราชการพลเรือนพอดี...ความที่ระยะทางไกล วันแรกที่ไป ได้ถามพี่ ๆ เขาว่า "หนูมีสิทธิ์เขียนย้ายได้เมื่อไร?...พี่เขาถึงกับถามว่า “มาวันแรก ก็จะย้ายแล้วรึ?..."  ผู้เขียนก็ได้ตอบพี่เขาไปว่า “เปล่าค่ะ…เพียงแต่หาข้อมูลไว้ก่อนค่ะ จะได้รู้ว่าเรามาอยู่กี่ปี จึงจะมีสิทธิ์เขียนย้ายได้”...ก็แหม!...มันไกลเหลือเกิน นั่งรถครั้งแรกก็รู้เลยว่า จะไหวไหมเนี่ย!...ผู้เขียนยังคิดต่อว่า “ถ้าพ่อ – แม่ มีตังค์จะไม่มาหรอก...เป็นเพราะความคิดถึงบ้าน คิดถึง "ภัคร" เจ้าตัวโตในตอนนั้นก็ว่าได้...นั่งน้ำตาซึมทุกวันในช่วงแรก ๆ ...กว่าจะทำใจได้..."...ยามฝนตก ถ้ามองออกไปนอกหน้าต่างสำนักงาน...ยามหัวหน้าการ ฯ เดินผ่าน ท่านจะแซวว่า "นั่นแน่ะ...ไอ้บุษ...คิดถึงบ้านอีกแล้ว"...

                ในการทำงานครั้งแรก...มีพี่ฝ่ายบริหารงานทั่วไป ซึ่งเขาต้องการลูกน้อง 2 คน เนื่องจากมีผู้เขียนแล้วก็น้องอีก 2 คน ไปรายงานตัว...หัวหน้าการฯ บอกพี่เขาว่าให้เลือกว่าจะเอาใครไปทำงานฝ่ายไหนให้พวกพี่ ๆ ในงานเขาเลือกกันเอง...ผู้เขียนเป็นคนไม่ค่อยพูด ได้แต่นั่งมองว่าพี่เขาจะเลือกใคร...ก็ไม่แคล้วหรอกค่ะ ที่พี่เขาจะเลือกน้องอีก 2 คน เพราะเขาเป็นคนช่างพูด...พี่เขาก็คงเห็นว่าเหมาะสมที่จะทำงานฝ่ายบริหารงานทั่วไปได้...เหลือแต่ ผู้เขียน...ก็ยังนั่งเฉยอยู่...”ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น...ใครจะเลือกใครก็เชิญเถอะ ฉันถือว่าทำอะไรก็ทำงานเหมือนกัน ก็เลยนั่งอยู่เฉย ๆ”...

                มีพี่สมคิด ซึ่งเป็นครูช่วยราชการ ตอนนั้นมาปฏิบัติหน้าที่บน สปอ. พี่สมคิดทำหน้าที่เป็นหัวหน้างานการเจ้าหน้าที่ในสมัยนั้น...เมื่อเป็นพี่หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป เลือกน้อง 2 คนไปแล้ว...พี่สมคิด หันกลับมาบอกผู้เขียนว่า “พี่นึกแล้ว...ว่าพี่ประพันธ์ (หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป) เลือกน้องสองคนไป เพราะสองคนนั้นเขาพูดเก่ง...แต่ผู้เขียนไม่ค่อยช่างพูด...พี่สมคิดบอกว่า...เราเองก็ได้ที่ต้องทำงานอยู่กับพี่"...ผู้เขียนไม่พูดอะไร...ได้แต่ยิ้ม...ในใจคิดว่า “ใช่สิ ก็ฉันมาทำงานน่ะ ไม่ได้มาแย่งหรือแข่งกับใครสักหน่อย เขาให้ทำงานอะไรก็ต้องทำ เกี่ยงไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า ผู้เขียนได้เริ่มงานที่ถูกใจและช่างเหมาะกับบุคลิกของผู้เขียนเสียเหลือเกิน...เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูด”...แต่ชอบขีด - เขียน มากกว่าจ้า...

                พี่สมคิด มอบหมายงานให้ผู้เขียนทำเกี่ยวกับเรื่องงานการเจ้าหน้าที่ หรืองานบุคคล พี่สมคิดเป็นพี่...เป็นครูที่สอนให้ผู้เขียนได้ทำงานและรู้เรื่องงาน กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ เกี่ยวกับเรื่องงานบุคคล เรียกได้ว่า “พี่สมคิด เก่งเรื่องงานการเจ้าหน้าที่”...ลืมบอกไปว่า!...ตอนนั้น งานการเจ้าหน้าที่จะมีผู้ที่ทำงาน ได้แก่ พี่สมคิด  พี่เชษฐ์ แล้วก็ผู้เขียน รวม 3 คน...เอาอีกแล้ว...เห็นไหมค่ะ...ได้ร่วมงานกับผู้ชายอีกแล้ว ไม่มีผู้หญิงเลย...แต่ก็ดีค่ะ...ทั้งพี่สมคิด + พี่เชษฐ์ เป็นพี่ชายที่แสนดีและน่ารัก...ผู้เขียนไม่ทราบเรื่องงาน พี่ทั้งสองก็สอน ก็บอก และเตือนผู้เขียนอยู่เสมอว่า “การทำงานงานการเจ้าหน้าที่ต้องระวัง!...อย่าให้พลาด...และต้องระวังเรื่องข้อมูล การถ่ายเอกสารในแฟ้มประวัติ หรือ ก.พ. 7 ถ้าใครมายืมไปถ่าย ควรให้เซ็นต์รับว่านำไปถ่ายเอกสารเมื่อไร?"...เพราะพี่สมคิด บอกว่า พี่สมคิดถูกตั้งกรรมการสอบสวนในเรื่องนำแฟ้ม ก.พ. ของอีกคนไปให้อีกคนถ่ายเอกสาร ซึ่งไม่ใช่เจ้าของประวัติ เพราะข้อมูล ก.พ. 7 เป็นเรื่องส่วนบุคคลของคนคนนั้น...คล้าย ๆ กับจะมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับว่ามีเรื่องกัน ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจ พี่คิดเล่าให้ฟังว่า “พี่สมคิดถูกลงโทษ ตัดเงินเดือน 10 % แล้วลงคำสั่งในแฟ้มประวัติ ก.พ.7” แต่ต่อมาก็มีการนิรโทษกรรม

                แต่พี่สมคิดบอกว่า ต่อให้ 10 นิรโทษกรรมอีกมาเขียนลงใน ก.พ. 7  ก็ไม่ต้องการหรอก ต้องการเพียงไม่ต้องมีคำว่า “ลงโทษ ตัดเงินเดือน 10 %” ให้อยู่ใน ก.พ. 7 เพราะมันคล้ายกับเป็นโทษทางวินัย เหมือนเป็นชนักปักหลังให้มีมลทินอย่างไงอย่างนั้น...แต่มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้...พอพี่สมคิดจะขอรางวัลดีเด่นอะไร คำว่า “โทษทางวินัย” มันก็ติดใน ก.พ. 7 ทำให้ทำอะไรไม่ได้เลย...ความที่พี่สมคิดหวังดีต่อผู้เขียนเสมอ จะบอกว่า “ทำอะไรเกี่ยวกับงานการเจ้าหน้าที่  ต้องเป็นคนละเอียด ระมัดระวังอยู่เสมอ อย่าให้พลาดเหมือนพี่ได้”...แต่ผู้เขียนก็เชื่อในความดีของพี่สมคิด...ว่าพี่สมคิดไม่น่าใช่ความผิดแต่เป็นเพราะความเผลอเรอ...คิดไม่ถึงมากกว่า จึงทำให้เกิดเรื่องดังกล่าว...

                สำหรับพี่เชษฐ์ เป็นพี่ชายที่ห่วงน้อง เห็นผู้เขียนเหมือนน้องสาว เวลามาจากบ้านเช่าถ้าพี่เชษฐ์ หรือพี่ ๆ บน สปอ.ที่ไม่ได้กล่าวนาม เห็น จะแวะรับโดยมารถยนต์บ้าง มอเตอร์ไซด์บ้าง แล้วแต่ที่พี่เขามีรถขณะนั้น...เรียกว่า หัวหน้าการ ฯ + พวกพี่ ๆ + น้อง ๆ ที่อยู่ที่ สปอ. ขณะนั้นเป็นคนใจดีมีเมตตากันแทบทุกคน...ในช่วงนั้น ผู้เขียนยังไม่มีรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซด์กับเขาหรอก...เพราะว่าเงินเดือนยังน้อยอยู่ รู้สึกว่าได้รับเพียง 2,205 บาท เท่านั้นเอง...แต่แปลกน่ะว่า!...ทำไมเงินเดือนพอใช้ล่ะ...น่าแปลกไหมละค่ะ...เพราะหนี้สินไม่มีไงค่ะ จึงพอใช้...แต่ปัจจุบัน จิปาถะ...แต่ไม่อยากบอกว่า...เก็บฝากค่าหุ้นสหกรณ์ไว้จ้า...คิดว่าเกษียณแล้วมีหุ้นประมาณ ล้านต้น ๆ ก็พอแล้วค่ะ...เอาไว้กินเงินปันผลยามแก่เฒ่า...555555555555...(ยิ่งแก่ตัว ทำไมยิ่งอยากเก็บกะตังค์ก็ไม่ทราบ...ผิดกับตอนเป็นวัยรุ่น ใช้เงินยังกับเบี้ย...ยังนั่งนึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาเลยว่า...ถ้าเก็บมาตั้งแต่วัยรุ่น ป่านนี้เงินเต็มบ้านแน่ ๆ เลย...555555555555 หรืออาจติดนิสัยพ่อบ้านกระมังที่ชอบเก็บตังค์...อิอิอิ...)

                ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานการเจ้าหน้าที่...ที่ สปอ.แห่งแรกนี้ จะได้ คือ ทำให้ทราบถึงกระบวนการของงานการเจ้าหน้าที่ กฎ ระเบียบใดบ้างที่เกี่ยวกับเรื่องบุคคล เพราะพี่สมคิด + พี่เชษฐ์ จะสอนให้เป็นคนมีเหตุผล ทำงานไม่ให้ผิด พี่สมคิดจะร่างหนังสือแล้วให้ผู้เขียนเป็นคนพิมพ์ ในสมัยนั้นใช้พิมพ์ดีด...พี่คิดดูว่าผู้เขียนพิมพ์เร็ว ค่อนข้างพอใจ พี่สมคิด บอกว่า “ดูคนไม่ผิด เพราะงานการเจ้าหน้าที่ ต้องเป็นคนที่ทำงานเร็ว ไว ถูกต้อง ชัดเจน ทำอะไรก็ต้องอิงระเบียบ กฎเกณฑ์ ห้ามทำโดยไม่มีหลักฐานเด็ดขาด"...นี่คือ..."คำสอนที่พี่ ๆ ได้สอนผู้เขียนไว้ตอนนั้น"... เพราะมีเพียง 3 คน แต่ทำงานให้กับครูทั้งอำเภอ ช่วงนั้นรู้สึกประมาณ 400 กว่าคน ทั้งอำเภอ...ผู้เขียนก็ได้วิชาที่เรียนมาไม่ผิด ได้นำความรู้นั้นมาใช้ได้อย่างเต็มที่...สมัยก่อน พิมพ์ดีด ไม่มีคอมพิวเตอร์เช่นสมัยปัจจุบัน...จะยากตรงที่พิมพ์กระดาษไข เพราะการพิมพ์กระดาษไข นั้น ต้องการจำนวนชุดให้ได้มาก ๆ ก็ต้องนำไปโรเนียว ซึ่งยากลำบากกว่าปัจจุบันมาก ๆ...บางครั้งโรเนียวแล้วกระดาษทะลุ + เปื่อย ก็ต้องพิมพ์ดีดใหม่...ซึ่งความสะดวกสบายไม่เหมือนปัจจุบันเลย...

 

อ่านประสบการณ์ชีวิตของการทำงาน "รับราชการ"

ทุกฉบับ ได้จากที่นี่...

ประสบการณ์ชีวิตของการทำงาน "รับราชการ"

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 422338เขียนเมื่อ 24 มกราคม 2011 21:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:40 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • คล้ายเป็นเรื่องส่วนตัว แต่นับเป็นประสบการณ์อันมีคุณค่ายิ่ง ต่อการทำงานราชการหรืองานอื่นๆ ครับ
  • ขอบคุณที่แบ่งปันครับ
  • ปณิธิ ภูศรีเทศ

ตอบ...คุณปณิธิ...Ico48...

  • ค่ะ...จะนับเป็นเรื่องส่วนตัวที่เป็นเรื่องจริงก็ว่าได้...
  • แต่ในความเป็นเรื่องจริงจะแฝงด้วยประสบการณ์ที่แต่ละคนมีอยู่...ในประสบการณ์ของคนอีกคนหนึ่งจะสามารถสอนหรือฝากเป็นข้อคิดให้กับคนอีกคนหนึ่งได้ทราบและรับรู้ หรืออาจนำไปเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตได้ค่ะ...
  • คิดว่าพอถึงแก่กรรม รวมเป็นเล่มเพื่อแจกในงานศพ...ได้อีกด้วยนะค่ะ...อิอิอิ...
  • ผู้เขียนอาจคิดไม่เหมือนคนอื่น...แต่ความเป็นบล็อก ว่าแต่ใครจะ "กล้าเล่าความจริงของตัวเองบ้างเท่านั้นเองค่ะ...
  • ความจริงที่มาจากประสบการณ์ตรงไงค่ะ...อาจใช้ประโยชน์ต่อการทำงาน + การดำเนินชีวิตได้ค่ะ...ไม่รู้ว่าคิดถูก หรือคิดผิด...เพราะทำงานเรื่องบุคคล จากที่ศึกษาในเรื่องของการจัดการความรู้ มีได้หลากหลายประเภทเลยค่ะ...ทำอย่างไร? จึงจะดึงความรู้ที่มีอยู่ในตัวคนเราออกมาให้คนอื่นรู้ + เห็นได้ละค่ะ...
  • ความรู้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องงานอย่างเดียว อาจเป็นความรู้ในเรื่องส่วนตัว ประสบการณ์ มากมายค่ะ...
  • ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่ะ...

สวัสดีค่ะอาจารย์

     เล่าได้น่าติดตามค่ะ แทรกข้อคิดในการใช้ชีวิตเป็นระยะ

     แม้จะนานแค่ไหนแต่คิดมาทีไรก็มีความสุขนะค่ะ

     ขอร่วมแชร์ประสบการณ์ค่ะ จำได้ค่ะบรรจุด้วยเงินเดือน1620บาท ดีใจมากวันที่เงินเดือนๆแรกออก

    ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆค่ะ

สวัสดีค่ะ...คุณถาวร...Ico48...

  • ทำให้เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านการเงินเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
  • จนนับมาถึงปัจจุบัน เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำงาน
  • อาจเป็นข้อคิดให้กับผู้อ่านในรุ่นใหม่ ๆ ได้นำไปคิดด้วยค่ะ
  • ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ...
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท