สอนน้อย เรียนมาก (Teach Less, Learn More) เป็นอุดมการณ์ด้านการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ อ่านได้ที่นี่
ไม่ได้หมายความว่าครูทำงานน้อยลง ครูกลับต้องทำงานหนักขึ้น เพราะต้องคิดหาวิธีให้นักเรียนเรียนได้มากขึ้น โดยครูสอนน้อยลง ครูหันไปทำหน้าที่ออกแบบการเรียนรู้ ชักชวนนักเรียนทบทวนว่าในแต่ละกิจกรรมของการเรียนรู้ นักเรียนได้เรียนรู้อะไร และอยากเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีก
หนังสือ 21st Century Skills : Rethinking How Students Learn บทที่ ๕ ชื่อ The Singapore Vision : Teach Less, Learn More เล่าว่าแนวคิดนี้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ “วิสัยทัศน์ ๔” ของสิงคโปร์ อันได้แก่ (๑) วิสัยทัศน์ระดับประเทศ (๒) วิสัยทัศน์ด้านการศึกษา (๓) วิสัยทัศน์ด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียน และ (๔) วิสัยทัศน์ในการจัดให้มี professional learning communities เป็นเครื่องมือปฏิรูปการศึกษา
โปรดสังเกตว่าการปฏิรูปการศึกษาของสิงคโปร์เป็นกระบวนการที่มีทั้ง top down และ bottom up PLC (professional learning communities) คือกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงโดย CoP ของครู ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้างาน หรือ bottom up
นอกจาก “สอนน้อย” แล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือ สอนเท่าที่จำเป็น ครูต้องรู้ว่าตรงไหนควรสอน ตรงไหนไม่ควรสอนเพราะเด็กเรียนได้เอง โดยครูออกแบบกิจกรรมให้เด็กเรียนจากกิจกรรม (PBL – Project-Based Learning) แล้วครูชวนเด็กทำ AAR หรือ reflection ว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง และยังไม่ได้เรียนรู้อะไรบ้าง ครูจะเข้าใจอัตราความเร็วของการเรียนรู้ของเด็กที่หัวไวไม่เท่ากัน และที่สำคัญยิ่งคือ ให้เด็กบอกว่าอยากเรียนรู้อะไรบ้าง สำหรับครูเอามาออกแบบการเรียนรู้ต่อ
นักเรียนจะรู้จากพฤติกรรมของครู ว่าครูเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายคน และเอาใจใส่อนาคตของเด็กแต่ละคน ต้องการอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้เพื่ออนาคตของศิษย์ทุกคน
ในสภาพการเรียนเช่นนี้ นักเรียนจะตื่นตัว และต้องเตรียมตัวเรียนตลอดเวลา จะไม่มีเวลาเฉไฉไปทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควร รวมทั้ง ครูต้องออกแบบการเรียนรู้ให้บรรยากาศการเรียนรู้ของชั้นหรือของกลุ่มมีลักษณะควบคุมพฤติกรรมกันเอง ให้ต้องช่วยกันทำกิจกรรมให้สำเร็จโดยสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกัน ไม่มีคนถูกทอดทิ้งหรือแยกกลุ่ม เป็นการเรียนรู้ที่ student engagement สูงมาก หรืออาจเรียกว่า Learners-Directed Learning
ในสภาพที่ครูใช้เวลาสอนน้อย ใช้เวลาออกแบบการเรียนรู้มาก ใช้เวลาทบทวนผลการเรียนรู้มาก เท่ากับครูต้องเรียนรู้วิธีทำหน้าที่ครูของตนอยู่ตลอดเวลา เพราะครูไม่รู้ว่าวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับให้ศิษย์เรียนรู้มากทำอย่างไร ครูจึงต้องจับกลุ่มกัน ลปรร. จากประสบการณ์ตรงของตน ในกิจกรรมที่เรียกว่า PLC ซึ่งก็คือ Community of Practice ของครูนั่นเอง
ผู้บริหารต้องคอยจับเอาประเด็นเรียนรู้สำคัญๆ จาก PLC เอาไปจัดระบบโรงเรียน ระบบเขตพื้นที่การศึกษา และระบบของ สพฐ. ให้เอื้อต่อการเรียนรู้แนว “สอนน้อย เรียนมาก”
เมื่อครูมีการเรียนรู้มาก จากงานของตน ครูย่อมเก่งขึ้น ได้รับการยอมรับสูงขึ้น และได้รับการตอบแทนต่างๆ ตามมา
วิจารณ์ พานิช
๓ ธ.ค. ๕๓
กราบเรียนท่านอาจารย์หมอค่ะ
ข้อเขียนของท่านอาจารย์ทำให้ครูตาได้แนวทางในการจัดการศึกษาในทศวรรษที่ 21 ซึ่งต้องมุ่งเน้นที่การออกแบบการเรียนรู้ให้น่าสนใจ น่าติดตาม น่าเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดได้ ทำได้ แก้ปัญหาได้ และนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของตนเองในสังคมปัจจุบันได้
ดังนั้นการสอนแบบนี้ครูต้องทำงานหนัก (ทั้งออกแบบการจัดการเรียนรู้ เตรียมสื่อ เตรียมสถานะการณ์ เตรียมแหล่งเรียนรู้ เตรียมใบงาน เตรียมประเด็นคำถามเพื่อจุดประกาย กระตุ้นต่อมใฝ่เรียนรู้ของเด็ก ๆ ให้แตกฉาน) ครูตาคิดว่า...พอทำได้ในส่วนของปัจเจกบุคคล แต่ในองค์รวมหรือทั้งระบบคิดว่ายากมาก ครูส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมการสอนแบบเดิม ๆ ยังคิดออกแบบการสอนไม่เป็น ขาดทักษะการตั้งคำถาม
หน่วยงานพยายามจัดครูให้เข้าอบรม "ปรับการเรียน เปลี่ยนการสอน" (ทำมานานมากกว่า 10 ปี) แต่กลับเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับครูส่วนมาก(ครึ่งต่อครึ่ง)เมื่ออบรมเสร็จก็ขาดการนำไปใช้จริงในห้องเรียน....ครูตาคิดว่าเป็นเรื่องสูญเปล่า.....แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำไป โดยไม่หวังผลเลิศ....ค่อย ๆ ปรับไปเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ เนิบหนาบ..คิดเสียว่า "สักวันหนึ่งจะดี" สักวันไหนหนอ......(อ่อนใจนะคะ) ทำให้คิดว่าหากมีการประเมิน(ระบบประกันคุณภาพภายใน/ภายนอก) กันอย่างจริงจัง ไม่เป็นพวกเป็นพ้อง ตำหนิ แก้ไข ไม่ผ่านต้องมีหน่วยเหนือมาช่วยปรับปรุง แก้ไข อย่างจริงจัง และตรวจประเมินใหม่จึงจะผ่านและรับรองมาตรฐานได้ (เคยเห็นส่งเอกสารไป แล้วปรับแก้ให้ผ่าน)
การพัฒนาการศึกษาของรัฐบาลแต่ละยุค ก็ได้ผลดีในสถานศึกษาส่วนน้อย คือ โรงเรียนในฝัน โรงเรียนดีใกล้บ้าน และโรงเรียนดีประจำตำบล ซึ่งมีไม่กี่โรงเรียนในประเทศไทย แต่ก็ยังขาดการพัฒนาอย่างเป็นระบบในแต่ละสถานศึกษาค่ะ