Version:1.0 StartHTML:0000000167 EndHTML:0000015022 StartFragment:0000000457 EndFragment:0000015006
โลกเป็นอนิจจัง ช่างเป็นคำที่คุ้นหู เสียนี่กระไร
แต่ในชีวิตจริง เสียงคุ้นหูนี้ อาจไม่ได้ก้องกังวานลึกลงไปถึงหัวจิตหัวใจของคนเราสักเท่าใด
คนจำนวนไม่น้อยจึงคิด ตัดสินใจและกระทำประหนึ่งว่า โลกเป็นนิจจัง
แพทย์ที่บอกกับคนไข้ว่า รอยแดง บวมปวด ร้อน บนฝ่าเท้าที่ลามขึ้นมาแข้ง น่อง ไม่มีอะไรมากไปกว่า การติดเช้ือแบคทีเรียบนผิวหนัง ยาปฎิชีวนะเอาอยู่แน่
ความจริงอาจเป็นไปได้ว่า ปัญหานี้ คือ การติดเชื้อแบคทีเรียที่กำลังลุกลามลึกลงไปถึงกล้ามเนื้อ และมีโอกาสปลิดชีพคนไข้ได้มากถึงร้อยละ ๗๐ ศัพท์เฉพาะทางการแพทย์สำหรับภาวะนี้คือ necrotising fasciitis
ถ้าจะแยกแยะให้ได้ว่า ตกลงคนไข้จะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง ต้องอาศัยการตัดชิ้นเนื้อตั้งแต่ชั้นผิวหนังลึกลงไปถึงกล้ามเนื้อมาตรวจ และอาจต้องตัดมากกว่าหนึ่งตำแหน่ง ทุกตำแหน่งที่ตัดชิ้นเนื้อก็จะทิ้งแผลเป็นเอาไว้ไม่มากก็น้อย
เท่านี้ เชื่อว่าคนไข้หลายรายก็ยังพอรับไหว แต่ถ้าฟังต่อไป ว่าแล้วหากเป็นอย่างหลังจริง จะรักษาอย่างไร คำตอบคือ ต้องตัดเนื้อทั้งหมดที่ติดเชื้อออก ซึ่งอาจหมายถึงตัดเท้า หรือตัดขาที่ทั้งท่อนเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
เป็นไงครับ เมื่อฟังถึงตรงนี้ คนไข้จำนวนหนึ่งก็จะหัวใจเต้นรัว เกิดอาการมึนหัวเพราะกลัวการตัดอวัยวะ กลัวความพิการ ที่จะตามมา
สำหรับคนหนุ่มสาวที่ยังโสด คนที่เพิ่งสร้างครอบครัว คนที่เป็นเสาหลักเดียวของครอบครัว การที่ต้องกลายเป็นผู้พิการ อาจหมายถึงการตกงาน การหย่าร้าง แฟนเปลี่ยนใจ ลูกเต้าต้องลำบาก ฯลฯ
กลับมาที่คนไข้สมมติรายนี้ คนไข้อาจถามหมอว่า แล้วโอกาสที่จะเป็นโรคร้ายนี้มีเท่าใด ถ้าคำตอบคือ ร้อยละ ๕ ถามว่า คนไข้จะตัดสินใจอย่างไร หรือจะให้หมอตัดสินใจแทน ให้ญาติตัดสินใจแทน
หมอควรจะยอมให้คนไข้หรือญาติตัดสินใจเองทั้งหมดดีมั๊ย หมอทำหน้าที่เพียงชี้แจงด้วยความรู้ที่มีก็พอแล้ว เพราะถึงที่สุด ผู้รับผลสุดท้ายคือคนไข้และครอบครัว ไม่ใช่หรือ
หรือจรรยาบรรณบอกว่า หมอควรตัดสินใจแทน เพราะหมอรู้ดีที่สุด ซึ่งก็คงถูกเพียงครึ่งเดียว นั้นคือความรู้ที่กล่าวมาแต่ต้น แต่คงไม่มีหมอคนใดกล้าฟันธงว่า โอกาสติดเชื้อร้ายแรงนั้น เพียงร้อยละ ๕ ไม่เป็นมากหรอก ลองรักษาทางยาไปก่อน เพราะหมอก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่า ชะตากรรมจะคลี่ตัวออกมาอย่างไร อาจเป็นไปได้ว่าการลองนี้ สุดท้ายกลายเป็นการทิ้งนาทีทองให้ผ่านไป จนการติดเชื้อร้ายแรงลามถึงขั้นตัดอวัยวะก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้ หรือหากจะรักษาชีวิตไว้ก็ต้องตัดอวัยวะ มากกว่าถ้ารีบตัดสินใจเสียแต่ต้น
คำว่า ร่วมกันคิด ร่วมกันตัดสินใจ แปลว่าอะไร จึงจะนับว่าเหมาะสม
มีงานวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า แพทย์มักตัดสินใจได้ถูกต้องมากกว่าคนไข้/ญาติ เพราะการตัดสินใจของแพทย์เป็นไปด้วยอารมณ์ที่นิ่งกว่า ด้วยความรู้และประสบการณ์มากกว่า
อย่างไรก็ดี คำว่า "มากกว่า" "นิ่งกว่า" สื่อความหมายในเชิงเปรียบเทียบ ไม่ได้หมายความว่า การตัดสินใจของแพทย์ถูกต้องแน่นอนเสมอไป
มีกรณีมากมายที่ชวนให้สังคมตั้งคำถามแรงๆกับการตัดสินใจของแพทย์ที่อาจไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนไข้เป็นหลัก เนื่องด้วยแพทย์ถูกโน้มน้าวด้วยผลประโยชน์แอบแฝง(ค่าตอบแทนจากการสั่งยาเยอะๆ ได้ค่าผ่าตัดซึ่งเป็นกอบเป็นกำมากกว่าการสั่งยา ได้โอกาสไปเที่ยวต่างประเทศพร้อมครอบครัวฟรีโดยบริษัทยาสนับสนุน ฯลฯ)
หรือแม้แพทย์ยึดประโยชน์ของคนไข้เป็นหลัก แต่ ณ จังหวะการตัดสินใจในบางครั้งบางคราว แพทย์ก็ไม่อยู่ในสภาพพร้อมทางอารมณ์และร่างกายเพราะเหนื่อยมาทั้งคืนหลังจากอยู่เวรชนิดไม่ได้งีบแม้อึดใจเดียว แพทย์อาจตัดสินใจเพราะแพทย์ยังฝังใจกับการสูญเสียคนไข้รายก่อนที่ทำให้ตนผิดหวัง หรือทำให้ตนมั่นใจว่าตัดสินใจถูก แพทย์อาจตัดสินใจในขณะที่อารมณ์ไม่นิ่งเพราะตนเองก็กำลังเผชิญกับวิกฤตในชีวิต ณ ห้วงเวลานั้น ฯลฯ
นี่แหละครับ ความเป็นอนิจจัง ในชีวิตการทำงานของแพทย์ ในชีวิตของคนไข้ที่ฝากความหวังไว้กับแพทย์ ไว้กับเทคโนโลยี่ทางการแพทย์อันดูเหมือนน่าอัศจรรย์ใจ
ในชีวิตจริง เชื่อว่า คนไข้จำนวนมากยอมรับความผิดพลาดจากการตัดสินใจของแพทย์แม้ว่าผลที่ตามมาอาจเลวร้ายเกินกว่าคาดคิด แต่ด้วยศรัทธาในความปรารถนาดีของแพทย์ที่แสดงออกอย่างจริงใจด้วยความพยายามของแพทย์ที่จะอธิบายเรื่องราวต่างๆเพื่อชวนให้คนไข้/ญาติได้ร่วมคิด ได้พยายามอย่างสุดวิสัยที่จะเยียวยาความผิดพลาดที่ตามมา ได้แสดงความเสียใจ ด้วยคำ"หมอเสียใจ" "หมอขอโทษ ที่...."
ว่ากันว่า ภาษากายของคนเรานั้นปิดบังกันยาก คนไข้/ญาติย่อมสัมผัสสิ่งนี้ได้
ประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมด ยังจำกัดอยู่ในขอบเขต ของตัวบุคคล(แพทย์ คนไข้/ญาติ) เพื่อพยายามเผชิญกับความเป็นอนิจจังในการดูแลคนไข้
แต่เราต่างรู้ดีว่า บุคคล ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างอิสระจากบริบทอันประกอบด้วยองคาพยพอีกมากมาย เช่น ระบบการตอบแทนแพทย์ ระบบการติดตาม ประเมินการทำงานของแพทย์ ทีมงานในรพ. ปริมาณแพทย์ต่อภาระงาน การแทรกแซงของธุรกิจยาและเครื่องมือแพทย์ต่อการตัดสินใจ ต่อการแสวงหาความรู้ของแพทย์ ฯลฯ
ไว้ค่อยว่ากันต่อไปนะครับ
เรียนท่านอาจารย์หมอ