ในการทำงานทุกอย่างย่อมเกิดการมองต่างมุมกันขึ้นมาได้ แต่เราจะจัดการกับปัญหาพวกนี้ได้อย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ดังเช่นสมมุติว่ามีบุคคลคนหนึ่งถูกติฉินนินทา่ว่าเป็นคนไม่ดีไม่รู้จักบุญคุณคน ถามว่าการที่เราฟังแล้วเชื่อในครั้งแรกนั้นเป็นการกระทำที่สมควรหรือไม่ผู้เขียนขอตอบว่าไม่สมควรเลยเพราะเป็นการไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ที่ถูกกล่าวหาเลยแม้แต่น้อย และเมื่อเราได้เข้าไปหาข้อมูลเบื้องต้นหรือเชิงลึกแล้วอาจพบว่าเค้าคนนั้นอาจจะไม่ใช่คนเช่นนั้นเลยก็เป็นได้ ผู้เขียนก็เช่นเดียวกันจะถือเรื่องบุญคุณมาเป็นอันดับหนึ่งในชีวิต คนที่ผู้เขียนถือว่าเป็นคนที่มีบุญคุณก็คือ "คนที่เรามองเห็นได้ในตอนทุกข์ยากลำบาก" ซึ่งได้แก่ พ่อ, แม่ , ครอบครัวของป้ากับลุง , ญาติพี่น้องที่รักใคร่กัน และเจ้านายเก่าที่เชียงใหม่
ตัวผู้เขียนเองก็เคยประสบเหตุการณ์ที่ว่า มีคนถูกนินทา (จะว่าใส่ร้ายก็ว่าได้) ว่า "ทรยศต่อเจ้านายเนื่องจากไปสรรเสริญเยินยอเจ้านายหน่วยงานเก่า" ผู้เขียนฟังแล้วรู้สึกตลกมากๆ เพราะแสดงถึงการมองโลกด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยอคติและคับแคบเอามากๆ ของคนที่กล่าวหาและบุคคลที่รับฟังแล้วเชื่อเช่นนั้น เนื่องจากถ้าบุคคลที่ได้รับฟังเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลพอ ฟังแล้วสมควรที่จะชื่นชมคนๆ นี้มากกว่าว่ากล่าวหรือติฉินนินทา เพราะแสดงถึงว่า คนๆ นี้รู้จักบุญคุณคนต่างหาก ลองนึกดูง่ายๆ ขนาดว่าคนๆ นี้ไปอยู่ในหน่วยงานใหม่แล้วก็ยังสำนึกบุญคุณและไม่ลืมเจ้านายเก่าที่เคยมีบุญคุณกับเขาทั้งๆ ที่ปัจจุบันนี้เจ้านายคนนั้นก็ไม่ได้มีอำนาจหรือให้ผลประโยชน์อะไรกับตนเองแล้ว แต่ก็ยังคงเคารพนับถือ รักใคร่อยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถือว่าเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมากทีเดียว ดีกว่าบางคนที่พอได้ดีแล้วก็ลืมบุคคลผู้ที่เคยอยู่เบื้องหลังหรือเคยมีบุญคุณในอดีตที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ดังทุกวันนี้ บางคนอายที่จะบอกว่าผู้จัดการใหญ่อย่างเขานั้นมีพ่อแม่เป็นเพียงคนเก็บขยะขาย หรือประธานบริษัทอย่างเขานั้นเคยมีภารโรงเป็นผู้ชุบเลี้ยงส่งเสียเลี้ยงดูจนสำเร็จการศึกษา ฯลฯ ดังนั้นผู้เขียนมองว่าการชื่มชมเจ้านายเก่าที่มีบุญคุณกับตนเองนั้นเป็นพฤติกรรมที่น่าชื่มชมอย่างมากและไม่ควรที่จะถูกตำหนิเลยแม้แต่น้อย คนที่ควรพิจารณาตนเองน่าจะเป็นคนที่พูดหรือนินทารวมถึงผู้ที่รับฟัังแล้วเชื่อตามมากกว่า ว่าควรที่จะพิจารณาตนเองและจัดการกับจิตใจที่คับแคบและเต็มไปด้วยอคติของตนเองได้อย่างไร
ขอต่ออีกนิดนึงนะคะ จริงๆ แล้วสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าใครรักเราจริงหรือไม่จริงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าปัจจุบันเค้าซูฮกเราขนาดไหนเพียงอย่างเดียวหรอกค่ะ สุดท้ายแล้วจะเหลือซักกี่คนที่รักและเคารพเราจริงๆ ก็ต้องไปพิสูจน์กันตอนเราหมดอำนาจ เกษียณไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับเค้าอีกแล้วถ้าเค้ายังคงรัก เคารพนับถือ คอยปกป้องเราและพูดถึงเราในแง่ดีอยู่ก็แสดงว่าเค้ารักเราจริง แต่ถ้าเค้าถึงขั้นเลี้ยงฉลองจุดพลุกันเลยทีเดียวนั้นก็...... คิดเอาเองละักันนะคะ เหอๆ อย่างที่เคยได้ยินมาว่าผู้บริหารบางคนเกษียณไปแล้วกลับมาหน่วยงานเดิมแม้แต่ที่จอดรถยังไม่มีใครช่วยกันที่ไว้ให้เลย นั่นแหละค่ะมันเป็นสัจธรรม ^_^