นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้กล่าวถึง
กระบวนการจิตปัญญาศึกษา ว่า
“จิตตปัญญาศึกษา คือ การศึกษาที่ทำให้เข้าใจด้านในของตนเอง รู้ตัว เข้าถึงความจริง ทำให้เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับโลกและผู้อื่น เกิดความเป็นอิสระ ความสุข ปัญญา และความรักอันไพศาล ต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง หรืออีกนัยหนึ่ง เกิดความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยเน้นการศึกษาจากการปฏิบัติ เช่น การทำงานศิลปะ โยคะ ความเป็นชุมชน การเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม สุนทรียสนทนา การเรียนรู้จากธรรมชาติ และจิตตภาวนาเป็นต้น”
ผมไม่ทราบว่าตั้งแต่มีการเขียนบทความทางจิตปัญญาศึกษา
ครั้งแรกที่ อาจารย์จุมพล ได้นำเสนอให้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษารอบต่อไป
จะมีใครรับหลักการทางการศึกษาแบบนี้หรือไม่ เพราะส่วนหนึ่งนักวิชาการแบบกลไก
ที่มีบทบาทครอบงำและชี้นำศาสตร์ของศึกษาศาสตร์ในปัจจุบัน มีมีแนวคิดกลไก
เชิงระบบ มีกระบวนการวัดและประเมินผลแบบวิทยาศาสตร์เป็นตัวเลขออกมา
จะมีพื้นที่ยืนให้ก้บ จิตปัญญาศึกษา หรือกระบวนทัศน์การพัฒนาแนวอื่น ๆ อย่างไรบ้าง
การครอบงำของแนวพฤติกรรมศาสตร์ สะท้อนยุคสมัยของทุนนิยมวิทยาศาสตร์
ที่เน้นให้คนทำงานสนองกระบวนการอุตสาหกรรม ทำอะไรแบบแยกส่วนและ
เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ส่วนกระบวนการจิตปัญญาศึกษา เป็นกระบวนการสำคัญ
ที่เน้นเข้าใจตนเอง รู้ตัวเอง ผ่านการปฏิบัติ เช่นศิลปะ ขบวนการจิตอาสา หรือ
จิตภาวนา สิ่งเหล่านี้มีการตอบโจทย์ของพวกอุตสาหกรรมหรือไม่ เช่นพวกนี้มัก
จะถามว่า จิตภาวนานี่วัดได้ไหม การเข้าใจตนเองก่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างไร
และกิจกรรมอาสาสมัครทั้งหลายก่อประโยชน์แก่ธุรกิจตนเองอย่างไรบ้าง และ
สำคัญที่สุดที่มักจะถามว่า มีตัวชี้วัดอะไรไหม
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจของกระบวนการจิตปัญญาศึกษาอยู่ที่ความเท่าเทียมกัน
จึงจะเปลี่ยนถึงระดับจิตสำนึกต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งแตกต่างจากระบบทุนนิยม
ที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจคือ ความสัมพันธ์ระหว่างความสมผลประโยชน์กัน
โดยคนที่มีทุนมากก็มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจสูงกว่าผู้ที่ด้อยทุนกว่า พอด้อยกว่า
ก็ต้องอาศัยคนที่มีทุนมาก โดยลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ลง ดังนั้นกระบวนการ
ทางจิตปัญญาศึกษาจึงไปไม่ได้กับวิชาการแบบกลไกทุนนิยมผลประโยชน์ทาง
วัตถุเป็นอย่างยิ่ง เพราะความสุข สมาธิจิต ปัญญา ล้วนแต่วัดไม่ได้ และทำการ
ซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยผลประโยชน์กันไม่ได้
สวัสดีค่ะ
มาเรียนรู้ "ความรัก ความจริง ความดี ความงาม" จากกระบวนการจิตปัญญาศึกษา
ขอขอบพระคุณค่ะ
คิดเห็นในทิศทางเดียวกันกับคุณครูปู เลยค่ะ ท่านผอ. ตรงกับหลักการใหม่แนวทางการศึกษา ๒๑ ขอบพระคุณภาพ น้องฟ้ากะนายเมฆ จากเมืองในฝัน ขอบพระคุณค่ะ :)
ขอบคุณคุณพี่คิม
ขอบคุณครูปู สำหรับ CSR ครับ
ขอบคุณคุณ poo ครับ
มันคงเป็นเรื่องยากที่ผู้มีอำนาจ(ที่แท้จริง)ในกระบวนการปฏิรูปการศึกษาจะยอมรับได้ เพราะเรื่องนี้ไม่สามารถหาตัวชี้วัดอันเป็นที่ยอมรับของกลไกเชิงระบบแบบตายตัวแบบนี้ได้
หากความสัมพันธ์เชิงอำนาจของจิตตปัญญาศึกษาอยู่ที่ความเท่าเทียมกัน การดำเนินไปของทุกกระบวนการก็ต้องมีความยืดหยุ่น(Flexible / ภาษาทหารเรียกอ่อนตัว)สูง ซึ่งแน่นอนว่าการใช้ตัวชี้วัดแบบ digital (1/0, เปิด/ปิด, ถูก/ผิด, ใช่/ไม่ใช่, มี/ไม่มี) อย่างที่ใช้เป็นรูปแบบมาตรฐานของการประเมินในปัจจุบันไม่สามารถทำได้ หรือทำได้ก็ยากเกินกว่าที่จะปฏิบัติได้จริง
แม้ว่าผลลัพท์จะออกมาตอบสนองจิตตปํญญาศึกษาอย่างที่เราต้องการ แต่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การรู้ตัวเข้าถึงความจริง ความเป็นอิสระ ความสุข ปัญญา ความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่งไม่ใช่สิ่งที่เป็นความต้องการหลักของผู้กำหนดนโยบายด้านการศึกษา
เพราะเมื่อมันไม่สามารถกำหนดตัวชี้วัดผลสำเร็จที่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้เสียแล้ว มันก็ไม่สามารถนำไปใช้เป็นตัวชี้วัดสำหรับการพิจารณาความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ของตนเมื่อต้องต้องนำไปเปรียบเทียบกับผลงานของคู่แข่งคนอื่นๆได้
สำหรับเรื่องของ CSR ยังมีข้อถกเถียงกันมากว่า มันเป็นไปเพื่อสังคมจริงๆ หรือเพื่อสร้าง image ให้องค์กรกันแน่ เพราะเราจะดูแค่ after process เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ จะต้องดูที่ in process ด้วย กลัวว่าจะเป็นกระแสแบบ ISO ที่ถูกมองว่าเริ่มต้นจากการกีดกันทางการค้ามากกว่าเรื่องของคุณภาพ
ขอบคุณ คุณ The Outsider สำหรับข้อคิดดี ๆ ทุกครั้งครับ