ประวัติหลวงพ่อเขียน - ต่อ


 

3.8  มหาบุญเหลือกับมหาชั้นกลับจากเทศน์ที่บ้านห้วยพุกเดินหลงทาง

                            มหาบุญเหลือกับเจ้าอาวาสวัดชัยมงคลกับมหาชั้นเจ้าอาวาสวัดท่าฬ่อ  เดินทางไปเทศน์ด้วยกันที่บ้านห้วยพุก  เมื่อเทศน์จบแล้วประมาณ  4  โมงเย็นเศษ ๆ  จึงออกเดินทางจากวัดห้วยพุก  เดินผ่านดงผ่านป่าวกวนไปมา  มาถึงตำบลวังตะกู ตีหนึ่ง  มหาบุญเหลือจึงชวนมหาชั้นนอนค้างคืนกับหลวงพ่อเขียน  เมื่อไปถึงวัดจึงไปที่กุฏิหลวงพ่อเขียน  ปรากฏว่าประตูหน้าต่างปิดหมด  มหาทั้งสองจึงไม่ไปเรียกหลวงพ่อเขียนเพราะจะเป็นการรบกวนท่าน  ท่านมหาชั้นจึงเอนตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย  ทันใดนั้นเองหลวงพ่อเขียนได้พูดด้วยเสียงอันดังภายในห้องว่า  “มหาเดินหลงทางกันมาซิน่อ  แย่เลยหนอ  พักนอนกันเสียที่นี่ไม่ต้องเกรงใจน่อ”  พร้อมกับเปิดประตูออกมา ที่หลวงพ่อเขียนได้ทักทั้ง ๆ  ที่หลวงพ่อเขียนยังไม่ได้เปิดประตูออกมาพบนั้น  หลวงพ่อเขียนรู้ได้อย่างไร  ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น  ยังความแปลกใจให้กับท่านมหาชั้นตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั้งถึงบัดนี้  (เรื่องนี้เขียนตามคำบอกเล่าของท่านมหาชั้น  รุ่งอินทร์  ร้านมิตต์แท้  ตลาดบางมูลนาก  อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร)

                      3.9 กวางหลวงพ่อเขียนถูกยิง

                          มีผู้นำลูกกวางมาถวายหลวงพ่อเขียนตัวหนึ่ง  หลวงพ่อเขียนเลี้ยงไว้  และเอาผ้าเหลืองผูกคอไว้  เพื่อให้คนรู้ว่าเป็นกวางวัด  เจ้ากวางเชื่องมาก  บางครั้งมันจะหนีหลวงพ่อเขียนไปกินข้าวและเหยียบย่ำข้าวของชาวบ้านเสียหาย  หลวงพ่อเขียนจึงนำไปให้อาจารย์เทิน  วัดสำนักขุนเณรเลี้ยงดูแทนท่าน  ก่อนที่นำกวางไป หลวงพ่อเขียนได้พูดเปรย ๆ  กับเจ้ากวางว่า  “เอ็งไปอยู่กับอาจารย์เทิน วัดสำนักนั่นน่อ แล้วไม่ต้องกลับมาหาข้าอีกน่อ” ครั้นเมื่อหลวงพ่อเขียนให้ลูกศิษย์นำกวางไปให้อาจารย์เทิน วัดสำนักขุนเณรแล้ว กวางไม่เคยปรากฏหรือย่างกรายมาที่วัดวังตะกูอีกเลย ทั้งที่วัดสำนักขุนเณรกับวัดวังตะกูไม่ได้อยู่ห่างไกลกันเท่าไรนัก
                          เมื่อกวางไปอยู่กับอาจารย์เทินแล้ว  วันหนึ่งกวางออกไปหากินไกลวัดในหมู่บ้านที่มันเคยไป  ชายผู้หนึ่งนำปืนยิงกวางถูกลูกนัยน์ตากวางข้างขวาตาบอด  อยู่ต่อมาไม่นานชายผู้นั้นเข้าป่าเพื่อไปตัดไม้  บังเอิญถูกกิ่งไม้เข้าที่นัยน์ตาข้างขวาถึงกับตาแตกนัยน์ตาบอด  เป็นที่น่าอัศจรรย์

                      3.10  ฝนตก  5  นาทีในงานพุทธาภิเษกที่วัดวังตะกู

                               ในงานพิธีพุทธาภิเษกหล่อรูปหลวงพ่อเขียนและสร้างเหรียญรูป หลวงพ่อเขียนนั้น  ขณะที่ทำพิธีได้ประมาณ  10  นาที  อยู่ ๆ  ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก  พระอาจารย์ต่าง ๆ  ต้องหนีขึ้นกุฏิกันหมดเว้นแต่หลวงพ่อเขียนองค์เดียว  เขานิมนต์ให้ขึ้นกุฏิหลวงพ่อเขียนท่านบอกว่า  ท่านขึ้นอีกองค์หนึ่งพิธีก็เสียหมด  และท่านบอกว่า   “ฝนมันตกไม่นานหลอกน่อ  มันตกเพียง  5  นาที  เท่านั้นก็หาย  เทวดาเขาให้ฤกษ์ดีน่อ”  บรรดากรรมการทั้งหลายก็จับเวลาดูปรากฏว่าถึง  5  นาที  ฝนหยุดตกขาดเม็ดเลยทีเดียว  อาจารย์ประทุมได้ไปเอาผ้าไตรมาให้หลวงพ่อเขียนเปลี่ยน  เพราะคิดว่า  ผ้าไตรหลวงพ่อเขียนคงเปียก  ปรากฏว่าผ้าไตรหลวงพ่อเขียนไม่ได้เปียกเลย  เป็นที่ น่าอัศจรรย์

                      3.11  เหรียญรูปหลวงพ่อเขียนแสดงอภินิหาร

                                ในงานพุทธาภิเษกที่วัดวังตะกู  มีมหรสพแสดงหลายอย่าง มีโรงมหรสพหนึ่งได้นำสัตว์ต่าง ๆ  มาแสดง  ปรากฏว่าหมีของเขาได้แหกกรงขังออกมาอาละวาด  ผู้คนวิ่งหนีกันแตกตื่นเพราะความกลัว  เจ้าของใช้ไม้พองไล่ต้อน  แต่หมีไม่กลัวดังเช่นเคยกลับตรงรี่เข้าใส่  ทั้งตบทั้งกัด  เจ้าของใช้ไม้พองตีต่อสู้จนหมียอมเข้ากรง  ปรากฏว่าเจ้าของซึ่งแขวนเหรียญหลวงพ่อเขียนนั้น  ไม่มีบาดแผลจากเขี้ยวเล็บของหมีเลย  มีแต่รอยเขี้ยวเป็นรอยบุ๋มและรอยขีดข่วนจากเล็บหมีเป็นทาง    ทั้งตัว  ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างแย่งกันบูชาเหรียญหลวงพ่อเขียนเป็นการใหญ่  นับว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

 

วัตถุมงคลที่ผู้คนนิยมบูชา
ที่มา  :  (โดยสุเทพ สอนทิม)

                      3.12  ม้าของหลวงพ่อเขียนย้ายไปอยู่วัดสำนักขุนเณร

                               เมื่อกำนันเถาว์  ทิพย์ประเสริฐ  นิมนต์หลวงพ่อเขียนไปอยู่วัดสำนักขุนเณรแล้ว  ม้าของหลวงพ่อเขียนทุกตัวได้พากันไปอยู่วัดสำนักขุนเณรเอง  โดยไม่ต้องไล่หรือผูกมัดจูงไป  และตั้งแต่ม้าออกจากวัดวังตะกูไปอยู่วัดสำนักขุนเณร  ม้าของหลวงพ่อเขียนก็ไม่เคยมีตัวใดกลับมาวัดวังตะกูอีกเลย

                      3.13  ม้าของหลวงพ่อเขียนพากันไปหาหลวงพ่อเขียนที่ตำบลชอนไพร

                                หลวงพ่อเขียนเดินทางไปวัดชอนไพร  อำเภอเมือง  จังหวัดเพชรบูรณ์  เพื่อทำพิธีพุทธาภิเษกหล่อเครื่องรางของขลัง  ส่วนฝูงม้าของหลวงพ่อเขียนวิ่งตามไปกันเอง  โดยไม่มีผู้ใดไล่ต้อนไป  และเมื่อเสร็จงานพุทธาภิเษก  หลวงพ่อเขียนได้กลับมายังวัดสำนักขุนเณร  เมื่อท่านมาถึงฝูงม้าของท่านก็ได้พากันวิ่งทยอยกลับ    เข้าวัด  ฝูงม้าหลวงพ่อเขียนไปได้อย่างไร  กลับมาได้อย่างไร  เป็นเรื่องที่สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้รู้เห็นเป็นอย่างยิ่ง

                      3.14  หมีควายของหลวงพ่อเขียนลงอาบน้ำในโอ่งของชาวบ้าน

                               วันหนึ่งหมีได้แหกกรงและไปขึ้นบ้านของชาวบ้านผู้หนึ่ง  และลงอาบน้ำในโอ่งใหญ่และขึ้นไม่ได้  มันจึงดิ้นจนโอ่งตกลงแตกกระจาย  เจ้าของบ้านเห็นเข้าจึงคว้าไม้ตีหมีหลายที  เจ้าหมีไม่ต่อสู้และวิ่งหนีกลับวัด หลวงพ่อเขียนพูดว่า  “มันตีหมีกูได้น่อ โอ่งมันราคาสักเท่าไร อย่างนี้ต้องเอาตำรวจจับดีน่อ”  วันรุ่งขึ้น  เจ้าของบ้านที่ตีหมีถูกตำรวจสายตรวจจับในฐานลักลอบเล่นการพนันไพ่ตอง  ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกเหมือนกัน

                      3.15  พระเนตรประธานในอุโบสถถูกคนร้ายขโมยเอาไป

                               ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเขียนเดินทางไปวัดชอนไพร มีคนร้ายขโมยเอาพระเนตรพระประธานในอุโบสถไปหมดทั้งสองข้าง  เมื่อหลวงพ่อเขียนกลับมา  หลวงพ่อเขียนไปดูพระพุทธรูป  และท่านได้กระทำทักษิณวัตร  3  รอบ  แล้วเดินขึ้นกุฏิไปพร้อมกับบ่นว่า  “อ้ายตาบอดมาขโมยไปได้ ไม่กลัวเวรเลยน่อ”  ต่อจากนั้นสองสามวันครูเจริญได้ยินเสียงชาวบ้านเข้าทรงอยู่ข้างบ้านคนทรงเจ้าพูดว่า  “เจ้าสองคนไปขโมยนัยน์ตาพระในโบสถ์มาต้องเอาไปคืนเสีย” คนป่วยบอกว่า  “ไม่ได้ขโมย”  คนทรงบอกว่า  “ขโมยแน่ถ้าไม่เอาไปคืน  เจ้าจะตาบอด”  วันรุ่งขึ้น  นายแสวงมีอาการทุรนทุรายนัยน์ตาเริ่มมองไม่เห็น  ต่อมาอีกสองวันถึงแก่กรรมลง  ส่วนเพื่อนนายแสวงกลัวจะถูกจับ  จึงได้ทิ้งลูกทิ้งเมียหายสาบสูญไปในที่สุด

                      3.16  เรื่องเมตตาสัตว์เลี้ยงจึงเป็นเหตุให้ถูกสอบสวน

                             เนื่องจากสัตว์เลี้ยงที่ชาวบ้านนำมาถวายวัด  หลวงพ่อเขียนก็เลี้ยงไว้  จนมีจำนวนมาก สัตว์เหล่านั้นไปเหยียบย่ำกินพืชผลของชาวบ้าน  ได้มีชาวบ้านบางคนเขียนบัตรสนเท่ห์ร้องเรียนไปยังนายอำเภอบางมูลนาก  ทางอำเภอส่งเรื่องให้เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร  และทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งกรรมการไปสอบสวน  ซึ่งทางคณะสงฆ์ได้มอบหมายคณะกรรมการนี้ไปด้วยว่า  ถ้าสอบสวนได้ตัวเจ้าทุกข์ผู้ร้องเรียนและเป็นความจริงตามที่ร้องเรียน  ก็ให้สอบถามชาวบ้านว่าจะปลด  หลวงพ่อเขียนจากตำแหน่งเจ้าอาวาสและให้อาจารย์ใหญ่ ฯ  พระอาวุโสวัดเดียวกันเป็นเจ้าอาวาสแทน  ชาวบ้านจะมีความเห็นอย่างไรด้วย

                             เรื่องนี้เมื่อคณะกรรมการเดินทางไปถึงวัดวังตะกู  ได้เรียกประชุมชาวบ้านตำบลวังตะกูสอบหาตัวเจ้าทุกข์ผู้ร้องเรียนก็ไม่มีผู้ใดแสดงตัวออกมา และครั้นสอบถามความเห็นชาวบ้านว่าจะปลดหลวงพ่อเขียนจากตำแหน่งเจ้าอาวาส และให้อาจารย์ใหญ่ ฯ เป็นเจ้าอาวาสแทน  ผู้ใดเห็นควรบ้าง  พอสิ้นเสียงถามก็มีเสียงสนับสนุนของชาวบ้านเป็นเอกฉันท์ไม่ปลดหลวงพ่อเขียนจากตำแหน่งเจ้าอาวาส  ในที่สุดเรื่องนี้ก็เอาความผิดจากหลวงพ่อเขียนและปลดตำแหน่งหลวงพ่อเขียนไม่ได้      

                      3.17  เรื่องสามารถทายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้  และติดต่อสนทนากันทางกระแสจิต

                               (1) มีการนัดประชุมคณะกรรมการเพื่อดำเนินการจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในเวลา  14.00  น.  ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังออกเดินทางมีลมแรงและฝนทำท่าจะตกลงมามืดฟ้ามัวดิน  ข้าพเจ้าจึงระลึกถึงหลวงพ่อเขียน  อธิฐานว่าถ้าจะให้ลูกไปประชุมก็ขอให้ลมและฝนเบา  ประมาณสัก  10 – 15 นาทีต่อมา ปรากฏว่าลมเบาลง ดินฟ้าอากาศดีขึ้น จึงเดินทางไปถึงตามกำหนด 

                               (2) วันหนึ่งภรรยาของข้าพเจ้าป่วยเป็นไข้ทับฤดูอย่างแรงหลวงพ่อเขียนได้ข่าวก็มาเยี่ยมถึงบ้าน  และเป่าศีรษะให้พร้อมกับกล่าวว่า  “ไม่เป็นไรน่อประเดี๋ยวก็หาย” และให้ข้าพเจ้าหาลวดมา 3 – 4 เส้น จะทำพิธีมัดลวดให้  พอตอนเย็นสลากกินแบ่งออกเลขท้ายสองตัว  34  คนถูกกันมากมาย ข้าพเจ้าไม่มีโชคแต่ภรรยาหายป่วย

        (จากประสบการณ์ของคุณวิเชียร  นันทนพิบูล  นายกยุวพุทธิสมาคมบางมูลนาก)

                      3.18  อภินิหารตอนท่านมรณภาพแล้ว

                               วันที่  10  พฤษภาคม  พ.ศ.  2515  เวลา  03.00  น.  เศษ  มีคนร้ายมาขโมยพระโมคคัลลาและพระสารีบุตร  ซึ่งประดิษฐานตั้งไว้ในพระวิหารวัดวังตะกู  คนร้ายได้ลักลอบหามเอาพระโมคคัลลาและพระสารีบุตรออกมา  แต่ยังไม่พ้นเขตรั้ววัด  คนร้ายจำนวนหนึ่งซึ่งเตรียมติดเครื่องยนต์คอยอยู่นอกวัดรถเสียไม่ติด  คนร้ายที่กำลังหามพระก็นำพระออกไปรถไม่ถูก  จึงนำพระไปซุ่มไว้ก่อน   แล้วออกไปช่วยกันซ่อมรถจนถึงตี  5  เศษ  ชาวบ้านเห็นเข้าคนร้ายก็รีบหนีไป

                (จากประสบการณ์ของนายใหญ่  ทิพย์ประเสริฐ  ตำบลวังตะกู)               

                4.  คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

                      หลวงพ่อเขียน  มีคุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง  ดังนี้

                      1.  หลวงพ่อเขียนเป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายและเฉลียวฉลาด  จะเห็นได้ว่าเมื่ออายุได้ 12 ปี หลวงพ่อเขียนได้ขออนุญาตบิดา – มารดา ขอบรรพชาเป็นสามเณร (พ.ศ.  2411)  อยู่ที่วัดทุ่งเรไร  ในขณะที่บรรพชาเป็นสามเณรนั้น  ได้ศึกษาอักษรสมัย ตามควรแก่การจากท่านอาจารย์วัด  พออ่านออกเขียนได้  นอกจากนี้ยังได้ศึกษาภาษาขอมควบคู่ไปกับภาษาไทยด้วย 

                      2.  ขยันเล่าเรียนเขียนอ่าน  จะเห็นได้จากการที่หลวงพ่อเขียนขยันเล่าเรียนเขียนอ่าน  อาจารย์ผู้สอนจึงได้เปลี่ยนชื่อจากเสถียรเป็น  “เขียน”

                      3.  เมตตาสัตว์เลี้ยง  จะเห็นได้ว่าเมื่อชาวบ้านนำสัตว์เลี้ยงมาถวาย หลวงพ่อเขียนไม่เคยขัดศรัทธา  เลี้ยงไว้จนมีจำนวนมาก  เช่น  ม้า  หมี  กวาง   สัตว์เหล่านี่เมื่อหลวงพ่อเขียนเลี้ยงไว้จะเชื่อง  ไม่ทำร้ายใคร    

หมายเลขบันทึก: 411041เขียนเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2010 13:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 01:29 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท