วันนี้ผมไปเยี่ยมป้าคนหนึ่งที่บ้าน เป็น malignant bowel obstruction เธอนอน รพ. 1 เดือน ผมกับพี่สมชาย (หมอศัลย์)ก็ช่วยกันดู case ร่วมกับ med เจ้าของไข้ คนไข้ตัดสินใจกลับบ้าน
แต่ปัญหาคือ กินยาไม่ได้และต้องใช้ Morphine ฉีด ผมก็เลยต้องเอาหัวเป็นประกันว่าจะรับผิดชอบหากมีความผิดพลาดจากการใช้ morphine IV ที่บ้าน ทางเภสัชกรก็ลำบากใจครับ ผมก็เลยต้องเซ็นเป็นผู้จ่ายยาแทนเภสัช และตามด้วยโทรคุยกับหัวหน้าเภสัช แล้วสุดท้ายตามด้วย เซ็นต์บันทึกข้อความว่ารายนี้ต้องใช้ยาจริงๆ ...จะเห็นว่า palliative care กับกฏหมายเมืองไทยยังมีข้อจำกัด..ผมโทรคุยกับอาจารย์เต็มศักดิ์ ก็โดยรวมว่า ถ้าติดตามได้ดี มี record ดี คืน amp ยาครบ+ไม่มีใครร้องเรียนก็จะไม่มีปัญหาผมรู้สึกเหนื่อยมากกว่าจะได้ MO ไปใช่ที่บ้านคนไข้รายนี้
ผมขี่มอเตอร์ไซด์ไปบ้านคนไข้เข้าไปในห้อง คนไข้ยิ้มแย้ม นอนอยู่บนเตียงพร้อมน้ำเกลือและ NG คนดูแลคือลูกสะไภ้ที่เป็นพยาบาลคอยดูแล ลูกชายเฝ้าแม่และดูแลอย่างดี เป็นบ้านที่พอมีฐานะครับเราคุยกันประมาณ 30 นาที
โดยสรุปหลังจากถามอาการทางกายและตอบคำถามแกจนกระจ่าง...ผมเปิดประเด็นด้านจิตใจ
ผม: ป้าเป็นไงครับกลับมาบ้าน
ป้า: ก็ดีนะ (ยิ้มแต่แววตาดูเศร้าๆ)...ป้าเหงาหมอ...ไม่รู้ทำไม บางทีมีคนมาเยี่ยม แต่มันยังเหงา เหมือนรู้สึก (บรรยากาศ) ทึมๆ เหมือนใกล้จะมืด
ผม: ดูเหมือนป้าจะเหงา ถึงแม้จะมีญาติห้อมล้อมและได้รับการดูแลอย่างดี
ป้า: ไม่รู้ทำไมนะหมอ?
ผม: เป็นไปได้ไหมครับว่า ป้ารู้สึกว่าคนรอบข้างอาจไม่เข้าใจความทุกข์ของป้า
ป้า: ใช่เลยหมอ..เหงามาก เหมือนรอวันตาย
ผม: คนไข้ผมหลายคนก็เคยบอกผมอย่างนี้เหมือนกันครับ...เพราะคนที่ป่วยหนักจะทุกข์ทั้งกายและใจ คนรอบข้างพยายามช่วยแต่ ทุกข์ที่มากทำให้ใจยังทุกข์..หลายคนก็มีความกลัวอยู่ในใจ
ป้า: ป้าไม่กลัวว่าจะตายนะ แต่มันทรมานเหลือเกิน ตายเร็วๆ ได้ก็ดี..(ป้าเงียบไปพักหนึ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง)...หมอว่าป้าจะอยู่ได้อีกนานไหม?
ผม: ที่ป้าถามอย่างนี้เพราะอะไรครับ
ป้า:ถ้าตายเร็วๆ ได้ก็ดี
ผม: ตายเร็วของป้านี่หมายถึงประมาณเท่าไหร่ครับ
ป้า: ถึงเดือนไหมหมอ
ผม: ......ถ้านานกว่านั้น ป้าคิดว่ายังไงครับ
ป้า: ก็พอไหว แต่ก็อยากให้เร็วกว่านั้น
ผม:แล้วถ้าสั้นกว่านั้นละครับ
ป้า : (ยิ้ม)ก็ดีนะซี
ผม: ตามความรู้ที่ผมมี หน่วยคงเป็นเดือนครับ ในความเป็นจริงก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่กะเกณฑ์ให้แม่นยำได้ลำบาก
แต่ที่ผมมองว่าเรื่องสำคัญกว่าคือ เราจะลดทุกข์ทั้งกายทั้งใจได้ยังไง..ทุกข์ทางกายผมกับทีมจะพยายามเต็มที่ ลูกสะไภ้ของป้าก็ช่ายเหลือเต็มที่...แต่ทุกข์ทางใจ ป้าเป็นคนที่สำคัญที่สุด
ผม: ป้าคิดว่าตอนนี้ป้ายอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้ไหมครับ
ป้า: มันครึ่ง ๆ นะ บางครั้งก็รับได้ แต่บางครั้งก็เป็นอย่างบอกหมอ คือมันรู้สึกเดียวดายบอกไม่ถูก
ผม: ไม่ใช่เรื่องง่าย หากใครเป็นแบบนี้แล้วจะรับได้ครับ แต่คุณป้าเก่งมากที่ดูแลตัวเองมาอย่างดี และเป็นคนไข้ที่ดีมาตลอด..ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ บางครั้งยิ่งเราครุ่นคิดว่าจะลดทุกข์อย่างไร แต่ใจก็ยิ่งฟุ้ง...อาจจะดีกว่าถ้าเรามีสติรู้ทันความทุกข์และมองอ่ายงที่มันเป็น....ค่อยๆ ทำไปทีละน้อยครับ นึกถึงสิ่งที่ดีในชีวิตก็ช่วยได้ครับ ชีวิตคนเรามีสองด้านเสมอ
ป้ายิ้ม..เราคุยกันต่ออีกพักใหญ่ จนผมต้องลากลับ ป้าทราบว่าผมจะไปมาเล วันอาทิตย์นี้ก็ดูกังวล ผมบอกแกว่าจะมีพยาบาลมาเยี่ยมทุกอังคาร และพี่สมชายจะเป้นที่ปรึกษาเวลาผมไม่อยู่...ผมบอกแกว่าจะมาหาแกทุกวันจนกว่าจะเดินทาง
อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณหมอ มาอ่านบันทึกนี้แล้ว ดีใจกับคุณป้าที่มีคุณหมอเอาใจใส่ขนาดนี้ ช่วงที่ไปทำงานแม้ยังไม่เคยใช้บริการ แต่ผ่านทุกวี่วันยังเห็น โห คนไข้มากมาย แล้วคิดในใจเลยว่า อย่างนี้คุณหมอพยาบาลจะรับไหวไหมนิ ส่งกำลังใจ ค่ะ J
อ่านบันทึกของหมอแล้วคิดถึง 2 เรื่องครับ
-หนังสือ "ก่อนเกิดหลังตาย" ของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เรื่องหญิงคนหนึ่งเศร้าโดยไม่รู้สาเหตุ ต้องแก้ไขด้วยการสะกดจิต จึงรู้ว่า อดีตเป็นภรรยาของชายขี้เมาซ้อมเช้าเย็น จนตาย น่าคิดว่า เป็นไปได้หรือคนเราเศร้าข้ามชาติ
-นึกถึงปราชญ์ฝรั่งเศส อนาโตล ฟรังส์ ที่เห็นว่า ชีวิตคือทุกข์ สุดท้ายฆ่าตัวตายเหมือนกัน เวรกรรม
ทำงานด้วยใจ คนไข้สบายใจ ทำต่อไปนะครับ ดีใจที่ได้รู้ว่าสังคมยังใจเผื่อแผ่ต่อกันเช่นนี้
"ป้าเหงาหมอ...ไม่รู้ทำไม บางทีมีคนมาเยี่ยม แต่มันยังเหงา เหมือนรู้สึก (บรรยากาศ) ทึมๆ เหมือนใกล้จะมืด"
เราจะไม่ได้ยินคำพูดเช่นนี้เลย..ถ้าคนไข้ไม่มีความไว้ใจเรา..
เป็นกำลังใจให้นะคะ
ขอบคุณทุกข์ความเห็นและกำลังใจครับ