เหตุขวางกั้นการทำความดี
นิวรณ์มี ๕ ประการ ได้แก่
๑.กามฉันทะ ความพอใจในกามคุณ ๕
๒.พยาบาท ความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
๓.ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน
๔.อุทธัจจกุกกุจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน และรำคาญหงุดหงิดใจ
๕.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
พอที่จะอธิบายพอสังเขป ดังนี้
๑.กามฉันทะ ความพอใจในกามคุณ ๕ ได้แก่อารมณ์ที่ครุ่นคิดติดอยู่กับความเป็นอดีต - อนาคต – ปัจจุบัน ในเรื่องของ รูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัส อันเป็นวิสัยของกามารมณ์ เช่น เรื่องความห่วงใย บิดา มารดา สามี ภรรยา บุตร หลาน ทรัพย์สินทั้งหลาย อาหาร เครื่องแต่งกาย ละคร เพลงต่างๆ และ ฯลฯ ในความเป็นอดีต - ในอนาคต – ในปัจจุบัน ด้วยความพึงพอใจบ้าง ด้วยความไม่พึงพอใจบ้าง เป็นกุศลบ้าง ไม่เป็นกุศลบ้าง เพียงนี้แหละฌานก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
๒.พยาบาท ความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ ได้แก่อารมณ์ที่ครุ่นคิดติดอยู่กับความเป็นอดีต - อนาคต – ปัจจุบัน ในเรื่องของความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ ใน กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัส อันเป็นวิสัยของความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ เช่น เรื่องความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ บิดา มารดา สามี ภรรยา บุตร หลาน ทรัพย์สินทั้งหลาย อาหาร เครื่องแต่งกาย ละคร เพลงต่างๆ และ ฯลฯ ในความเป็นอดีต - ในอนาคต – ในปัจจุบัน ด้วยความไม่พึงพอใจ ที่ไม่เป็นกุศล เพียงนี้แหละฌานก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
๓.ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ประดุจดั่งข้อธรรมที่เป็นกลางๆ คือ อุเบกขารมณ์แบบรุนแรง ไม่มีสติ-สัมปชัญญะ ควบคุมกำลังใจ และกาย ต้องกล่าวอย่างรุนแรงว่า “มันหลับไปเลยครับอาจารย์”... เพียงนี้แหละฌานก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
๔.อุทธัจจกุกกุจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน และรำคาญหงุดหงิดใจ ได้แก่อารมณ์ที่ครุ่นคิดติดอยู่กับความเป็นอดีต - อนาคต – ปัจจุบัน ในเรื่องของ รูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัส อันเป็นวิสัยของกามารมณ์ เช่น เรื่องความห่วงใย บิดา มารดา สามี ภรรยา บุตร หลาน ทรัพย์สินทั้งหลาย อาหาร เครื่องแต่งกาย ละคร เพลงต่างๆ และ ฯลฯ ในความเป็นอดีต - ในอนาคต – ในปัจจุบัน ด้วยความพึงพอใจบ้าง ด้วยความไม่พึงพอใจบ้าง เป็นกุศลบ้าง ไม่เป็นกุศลบ้าง จนในที่สุดความคิดกระจายไปแบบกว้างขวาง มิอาจหยุดความคิดนั้นๆได้ เพียงนี้แหละฌานก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
๕.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ในผลของการปฏิบัติไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงตามที่คิดไว้หรือไม่เพียงใด เพียงนี้แหละฌานก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
วิธีแก้ไขอารมณ์ที่นิวรณ์ ๕ เข้ามากวนใจ มีหลายวิธีการ คือ
๑) ด้วยการตั้ง สติ-สัมปชัญญะ ในการทำสมาธิ คือ ต้องมาตั้งต้นกันใหม่ที่ อานาปานสติ กำหนดรู้ลมหายใจ เข้า / ออก จะข่มนิวรณ ๕ได้
๒) ด้วยการตั้ง สติ-สัมปชัญญะ เราต้องการทำความดีให้พ้นทุกข์จากวัฏสงสารไม่ใช่หรือ ยังไม่เข็ดกับการคบกับนิวรณ์ ๕ หรือ
๓) ด้วยการตั้ง สติ-สัมปชัญญะ เตือนตนว่ายังไม่หายบ้าอีกหรือ ไม่ได้เจริญสมาธิ ก็มีนิวรณ์ ๕ เข้ามาเป็นเจ้าแห่งความคิด ทำสมาธิก็มีนิวรณ์ ๕ เป็นเจ้าแห่งความคิดเมื่อไรจะได้ดีเสียที
๔) ด้วยการตั้ง สติ-สัมปชัญญะ ตกนรกมามากก็เพราะนิวรณ์ ๕ ไม่หลาบจำหรือ
๕) ยังมีอีกมากความคิดในการตัด ฯลฯ
ไม่มีความเห็น