จริง ๆ แล้วต้นเดือนที่ผ่านมาหลวงพ่อก็ได้เล่าเรื่องปิบผลิมาณพ (พระมหากัปปสะ) และนางภัททกาปิลานี (ภรรยาของปิบผลิมาณพ) ให้ฟัง
ท่านบอกว่าปิบผลิมาณพเมื่อถึงคราวเจริญวัย บิดาและมารดาปรารถนาจะให้มีคู่ครอง แต่ปิบผลิมาณพไม่ต้องการจะแต่งงาน เมื่อบิดามารดาเคี่ยวเข็ญหนักเข้า ปิบผลิมาณพจึงได้นำทองคำมาหล่อเป็นรูปผู้หญิงซึ่งมีลักษณะงามมาก และได้บอกแก่บิดามารดาว่า ถ้ามีหญิงงามดังรูปหล่อทองคำนี้ตนจึงจะยอมแต่งงานด้วย
มารดาจึงสั่งให้พราหมณ์ ๘ คน ยกรูปทองคำตั้งขึ้นบนรถแล้วตระเวนไป ถ้าเจอหญิงที่มีรูปงามดังรูปหล่อนี้ให้จัดการสู่ขอและนำรูปหล่อทองคำนี้เป็น สินสอด
หลวงพ่อบอกว่า "เผอิญว่ามีคนมีบุญเสมอกันอยู่ด้วยสิ" ปรากฏว่าพราหมณ์ก็ตระเวนไปจนถึงสาคลนครในมัททรัฐ ไปเจอแม่นมของนางภัททากาปิลานี ตอนนั้นแม่นมกำลังจะไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ แลไปเห็นรูปหล่อทองคำก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นธิดาของเจ้านายแอบหลบหนีออกมา เที่ยว จึงกล่าวว่า แม่หัวดื้อ มาที่นี่ทำไม แล้วเงื้อฝ่ามือตีที่ข้างแก้มของรูปหล่อ พร้อมกับพูดว่า จงรีบกลับไป
เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๘ คนเห็นเข้าจึงเข้าไปถามแม่นมว่า ธิดาของนายเจ้า งามเท่ารูปหล่อทองคำนี้หรือไม่ แม่นมบอกว่า ธิดาของนายเรางามกว่านี้พันเท่า แม้อยู่ในที่มืด ความมืดก็จะหายไปด้วยแสงสว่างที่ออกจากร่างกายของนาง พวกพราหมณ์จึงตามไปบ้านของภัททกาปิลานี และทำการสู่ขอนาง
หลวงพ่อบอกว่า "เรื่องนี้คนใช้เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ปิบผลิมาณพและนางภัททกปิลานีได้แต่งงานกัน"
ก็คือ ปิบผลิมาณพไม่ต้องการจะแต่งงาน ส่วนนางภัททกาปิลานีก็ไม่ต้องการแต่งงานด้วยเช่นกัน ต่างฝ่ายจึงเขียนจดหมายว่าตนเองไม่ต้องการแต่ง ประสงค์ที่จะบวช แล้วให้คนใช้ทั้งสองฝ่ายส่งไปหาอีกฝ่าย ระหว่างทางคนใช้ของทั้งสองมาเจอกัน ก็แอบเปิดดูข้อความในจดหมาย ต่างฝ่ายจึงทำการเปลี่ยนข้อความจดหมายเป็นทั้งสองต่างพึงพอใจซึ่งกันและกัน ดังนั้นทั้งสองคนจึงได้แต่งงานกัน
เมื่อแต่งงานกันไปแล้วทั้งสองก็ประพฤติอยู่ในพรหมจรรย์ เวลานอนก็นำพวงมาลัยมาคั่นกลาง ดอกไม้ในด้านของคนใดเหี่ยว พวกเขาจะรู้ได้ว่าราคะได้เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้นั้น ไม่มีการถูกตัวหรือยิ้มหัวเราะให้กัน จนกระทั่งบิดามารดาของทั้งสองสิ้นชีวิต
ทีนี้ ทั้งปิบผลิมาณพและนางภัททกาปิลานีเป็นผู้มีทรัพย์มากถึง ๘๗ โกฏิ แต่ทั้งสองไม่ปรารถนาในทรัพย์สิน ต้องการที่จะออกบวช ทั้งสองเลยตัดสินใจปลงผมบวช เมื่อถึงทางสองแพร่งปลิผลิมาณพคิดว่าถ้ามีคนอื่นเห็นว่าเราบวชแล้วยังมีสตรี เดินตาม คนอื่นจะคิดในทางร้าย และเกิดโทษแก่บุคคลนั้น จึงตัดสินใจแยกทางกับนางภัททกาปิลานีที่ทางสองแพร่งนั้น โดยปิบผลิมาณพเดินไปทางขวา ส่วนภัททากาปิลานีเดินไปทางซ้าย
หลวงพ่อบอกว่า "ตรงนี้แหละที่เขาเรียกว่า ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา จริง ๆ แล้วมีต้นกำเนิดมาจากเรื่องนี้"
หลวงพ่อเล่าจบแค่นี้ค่ะ จริง ๆ แล้วเรื่องของพระมหากัสสปะนี้ หลวงพ่อมักจะเล่าให้ฟังหลายครั้ง ท่านเคยบอกกับเถรีว่า "กำลังใจต้องให้ได้อย่างพระมหากัสสปะ จึงจะรอด" รอดในที่นี้ คือ รอดจากหนุ่ม ๆ ค่ะ
โดย เถรี
ที่มา กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
ชอบมาก เคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่มาของ ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา
นึกว่าพูดกันเล่นๆ ตามภาษาของนักกลอน
คุณครูน่าจะเอาเรื่องนี้ไปถามนักเรียนนะครับ
ดูซิว่า ใครจะตอบได้
ไม่มีความเห็น