ภูมิปัญญาทางภาษา


นิทานพื้นบ้าน เรื่อง หงส์หิน จำปาสี่ต้น นางผมหอม เต่าน้อยอองคำ ชะตามะกอกแห้ง หมาขนคำ

                            นิทานพื้นบ้านเรื่อง “หงส์หิน”

        เมืองพาราณสีเป็นเมืองใหญ่ สร้างป้อมปราการและกำแพง ล้อมรอบด้วยแผ่นหินผา ดูบึกบึนโอ่อ่าน่ายำเกรงนัก นับเป็นเมืองที่มีความเข้มแข้งไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครอง ด้านการเมือง หัวเมืองน้อยใหญ่จึงต่างเข้ามาสวามิภักดิ์ยอมส่งส่วยถวายตัวเป็นเมืองขึ้น แต่เจ้าเมืองนี้กลับมีแต่ความโทมนัส ด้วยพระมารดาของพระองค์ได้ถูกพวกยักษ์ลักพาตัวไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่แห่งหนตำบลใดและไม่ทรงทราบข่าวคราวพระมารดาว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

        เจ้าเมืองพาราณสีมีพระมเหสีอยู่ ๗ องค์ คือพระมเหสีเอกและมเหสีรองอีก ๖ องค์ พระมเหสีเอกทรงพระนามว่านางวิมาลา อยู่ต่อมาพระมเหสีทั้ง ๗ องค์ก็ทรงครรภ์พร้อมๆกัน  ครั้นทรงครรภ์ครบ ๙ เดือนพระมเหสีรองทั้ง ๖ องค์ก็มีพระประสูติกาลพระโอรสเป็นที่พอพระทัยแก่เจ้าเมืองยิ่งนักคงเหลือแต่พระมเหสีเอกที่ยังไม่มีพระประสูติกาลตามกำหนดพระนางวิมาลาทรงครรภ์นานถึง ๑๐ เดือน เจ้าเมืองพาราณสีจึงทรงวิตกยิ่งนัก ดังนั้นพระองค์จึงเรียกโหรหลวงมาเข้าเฝ้า และตรัสถามความเป็นจริง

        โหรหลวงได้คิดคำนวณตามตำราโหราศาสตร์ก่อนที่จะเพ็ดทูลขึ้นว่า

        “ขอเดชะ สาเหตุที่ทรงครรภ์นนานถึง ๑๐ เดือนก็เพราะว่าทรงมีพระโอรสและพระโอรสองค์นี้เป็นเนื้อนาบุญแห่งโพธิสัตว์ จักได้เป็นใหญ่มีอำนาจบารมีแผ่ไพศาลในภายภาคหน้า จักมาโปรดบ้านเมืองให้สงบร่มเย็นเป็นขวัญเมือง”

         เจ้าเมืองได้สดับดังนั้นทรงพอพระทัยมาก จึงประทานบำเหน็จรางวัลแก่โหรหลวงตามสมควร

         ข้างฝ่ายพระมเหสีรองทั้ง ๖ องค์ เมื่อทรงทราบคำทำนายโหรก็วิตกไปตามๆกันด้วยเกรงว่าหากพระนางวิมาลามีพระประสูติกาลพระโอรส พระโอรสทั้ง ๖ องค์อันถือกำเนิดแต่ตนก็จะไม่เป็นที่โปรดปรานของเจ้าเหนือหัวอีกต่อไป ดังนั้นพระมเหสีรองจึงหารือวางแผนออกอุบายชั่วร้ายขึ้นมา

          ครั้นถึงเวลามีพระประสูติกาลพระโอรสองค์ที่ ๗ พระมเหสีรองทั้ง ๖ องค์ก็อาสาเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด ขับไล่ให้พวกนางในวังมิให้อยู่ใกล้ชิดดังเดิม ครั้นเมื่อพระโอรสประสูติออกมาก็หาลูกสุนัขที่เพิ่งตกลูกใหม่มาเกลือกกลั้วกับเลือดนำมาไว้แทนพระโอรส ส่วนพระโอรสที่ประสูติออกมานั้นให้นางกำนัลลักลอบนำไปทิ้งนอกประตูวังแล้วใส่ความพระมเหสีว่าทรงมีพระประสูติกาลออกมาเป็นสุนัขและติดสินบนให้โหรทำนายทายทักว่าเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง เมื่อเจ้าเมืองทรงทราบมิได้ทันพิจารณาในความจริงจึงหลงเชื่อในอุบาย ทรงขับไล่ให้พระนางวิมาลาออกจากวังหลวงในทันที

          พระนางวิมาลาทรงเสียพระทัยเป็นยิ่งนัก นางหลงเชื่อว่าลูกสุนัขนั้นคือพระโอรสที่แท้จริง จึงอุ้มลูกสุนัขน้อยซัดเซออกจากวังด้วยความโทมนัสยิ่ง นางได้แต่คิดว่าเป็นบาปกรรมแต่ชาติปางก่อนจึงต้องมาตกอับได้รับความทุกขเวทนาในยามนี้ ความหวังที่จะได้พึ่งพาพระโอรสตามคำทำนายว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการนั้นก็มีอันปลาสนาการไปสิ้น

          นางรอนแรมไปถึงชายป่าพบตายายปลูกกระท่อมอาศัยอยู่เพียงลำพัง จึงขอเข้าไปพึ่งพาอาศัยในฐานะลูกบุญธรรม ซึ่งสองตายายก็รับไว้ด้วยความเต็มใจด้วยเป็นคนมีน้ำใจเมตตาอารีหาได้รังเกียจแต่อย่างใดไม่พระนางวิมาลาทรงเลี้ยงดูลูกสุนัขเป็นอย่างดีเพราะคิดว่าเป็นพระโอรสที่แท้จริง โดยหารู้ไม่ว่าพระโอรสองค์จริงนั้นถูกพระอินทร์ทรงรับเอาไปเลี้ยงไว้บนสรวงสรรค์แล้ว 

 

หลายปีผ่านไป 

            ฝ่ายพระโอรสของพระมเหสีรองทั้ง ๖ องค์บัดนี้เจริญวัยเติบโตเป็นมานพน้อยเที่ยววิ่งเล่นซุกซนเป็นที่โปรดปรานของเจ้าเมืองยิ่งนัก  แม้จะทรงออกวิ่งเล่นเถลไถลไกลหูไกลตาบ้าง  และมักท่องเที่ยวไปนอกเขตพระราชวังอยู่เนือง ๆ แต่ครั้นเมื่อทราบถึงกิตติศัพท์ความเหี้ยมโหดของพวกยักษ์ที่มักมาดักจับกินมนุษย์แถวนอกประตูเมืองก็พากันขยาดหวาดกลัว  ไม่กล้าที่จะออกไปไหนไกล ๆ เท่าไรนัก

            กล่าวถึงพระอินทร์ผู้เสวยสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ครานั้นก็ร้อนถึงทิพยอาสน์

 ทิพยอาสน์ที่เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งกระด้าง ทรงรับรู้ในทันว่าต้องมีเหตุอันไม่สมควรเกิดขึ้นในโลกมนุษย์เป็นแน่แท้  จึงเล็งเห็นด้วยทิพย์ญาณก็รู้ว่าพระโอรสอันกำเนิดจากพระมเหสีเอกแห่งเมืองพาราณสีกำลังได้รับภยันตรายใหญ่หลวงนัก  จึงรีบเสด็จลงมารับเอาพระโอรสขึ้นไปชุบเลี้ยงบนสรวงสวรรค์จนบัดนี้พระโอรสเจริญวัยใกล้เคียงกับพระโอรสขึ้นทั้ง  ๖  องค์  พระโอรสมักสอบถามพระอินทร์อยู่เสมอว่า  พระมารดาของตนคือใครกันแน่  ซึ่งองค์อินทร์ก็มักบายเบี่ยง  มิได้ตรัสความจริงแต่ประการใด

            กระทั่งวันหนึ่งเมื่อพระโอรสเติบใหญ่พอรู้ความ  ก็ทรงซักไซ้ไล่เลียงเช่นเคย  จนองค์อินทร์จำต้องเปิดเผยความจริงว่าพระโอรสมีพระมารดานามพระนางวิมาลา  เป็นมเหสีของเจ้าเมืองพาราณสี  ถูกใส่ความและขับออกจากพระราชวังไปอยู่ในป่ากำลังได้รับความลำบากอยู่กับตายายในโลกมนุษย์  พระโอรสทราบความจริงรู้สึกโทมนัสและคิดถึงพระมารดายิ่งนัก  จึงขออนุญาตไปตามหาพระมารดา  พระอินทร์ก็ทรงอนุญาต  เนื่องจากพระโอรสเจริญวัยเป็นพระกุมารที่เฉลียวฉลาดและเข้มแข็งแล้ว

            แต่การเดินทางไปยังโลกมนุษย์นั้นยาวไกล ดังนั้นพระอินทร์จึงเนรมิตหงส์ยนต์ที่ทำด้วยหิน  เพื่อใช้เป็นพาหนะขับขี่ไปยังเมืองมนุษย์  พร้อมกับมอบดาบวิเศษ 

“ศรีขรรค์ชัย” ให้ แล้วกำชับว่าอย่าเพิ่งเปิดเผยตัวเอง และอย่าให้ใครล่วงรู้ถึงการขับขี่หงส์ยนต์วิเศษ ให้ซ่อนไว้ให้มิดชิดมิให้ใครเห็นพระกุมารรับคำแล้วขี่หงส์หินลงมาจากสวรรค์ตรงดิ่งลงไปบริเวณชายป่าใกล้กับกระท่อมสองตายาย ซ่อนหงส์หินไว้บนต้นไม้ใหญ่แล้วเข้าไปพบพระมารดาแนะนำตนเองว่าคือพระโอรสท่านพระอินทร์เก็บไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม

           ฝ่ายพระนางวิมาลาเมื่อทรงเห็นพระโอรสเป็นผู้มีวรรณะผ่องใสงดงามก็ไม่ยอมวางพระทัยเชื่อง่ายๆนางนึกไปว่าชะรอยกุมารน้อยผู้นี้น่าจะเป็นรุกขเทวดาแปลงกายมาหลอกให้นางดีใจเล่นเป็นแน่ พระโอรสจึงทรงตั้งจิตอธิษฐานขึ้นว่าหากเป็นพระมารดาจริงๆก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงดลบันดาลให้พระกษิรธาราจงพุ่งไหลเข้าพระโอษฐ์ตนเดี๋ยวนี้เทอญ สิ้นคำอธิษฐานพระอินทร์ก็ทรงรับรู้ด้วยทิพยญาณ จึงดลให้พระกษิรธาราของพระนางวิมาลาเคลื่อนไหลพุ่งเข้าสู่พระโอษฐ์กุมารน้อยในทันที พระนางวิมาลาประจักษ์เช่นนั้นถึงกับเป็นลมไม่ได้สติสมประดีด้วยความยินดีปราโมทย์

            เมื่อฟื้นคืนองค์ได้สติก็สวมกอดรัดกันด้วยความโสมนัสพระกุมารทรงถ่ายทอดความจริงที่พระอินทร์ทรงตรัสเล่าให้ฟังว่าพระมารดาถูกใส่ความกลั่นแกล้งจากมเหสีรองทั้ง ๖ องค์นำลูกสุนัขมาไว้แทนตน พระนางวิมาลาจึงทราบความจริง จากนั้นพระกุมารได้อาศัยอยู่กับพระมารดาและสองตายายจนเติบโตเป็นมานพน้อย

ด้วยความซุกซนประสาชายหนุ่มวัยรุ่นพระกุมารจึงได้ออกท่องเที่ยวไปใกล้กับเขตประตูเมืองและได้พบกับพระโอรสทั้ง ๖ องค์ซึ่งมักมาเล่นทอยลูกสะบ้ากันอยู่ประจำ

           พระกุมารเห็นลูกสะบ้าขลิบด้วยทองคำก็นึกอยากได้และอยากจะเล่นทอยลูกสะบ้าพนันกับเหล่าพระโอรสบ้าง จึงกลับมาอ้อนวอนพระมราดาขอให้หาลูกสะบ้าให้ แต่จนใจที่พระนางวิมาลาจะหาให้ได้ ด้วยตนมีฐานะยากจน นางจึงเก็บลูกสะบ้าป่ามาให้แทนพระกุมารจึงนำไปขอเล่นพนันกับเหล่าพระโอรส ซึ่งก็ถูกยิ้มเยาะถากถางเพราะเป็นลูกสะบ้าไร้ค่า พระกุมารจึงเสนอว่าหากตนเล่นชนะก็ขอรับลูกสะบ้าขลิบทองคำแต่ถ้าหากแพ้จะยอมเป็นทาสรับใช้ทุกอย่างพระโอรสทั้ง ๖ องค์จึงตอบตกลง แต่เมื่อเล่นทอยลูกสะบ้าแล้วพระกุมารกลับเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง จึงได้ลูกสะบ้าขลิบทองคำไปให้ตายายและพระมารดานำไปแลกเปลี่ยนสินค้าในเมือง ทำให้ฐานะที่ยากจนดีขึ้นทันตาเห็น

            การเล่นทอยลูกสะบ้าเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ กระทั่งวันหนึ่งพระกุมารกลับบ้านค่ำจึงได้พบกับนางยักษ์ซึ่งดักรออยู่ที่ชายป่านอกประตูเมือง พระกุมารจึงใช้ดาบวิเศษศรีขรรค์ชัยตัดคอนางยักษ์ล้มตายบริเวณชายป่า เมื่อเหล่าพระโอรสทราบความจริงในวันรุ่งขึ้นอยากมีความชอบจึงตกรางวัลแก่พระกุมารให้ปกปิดเรื่องนี้ แล้วพากันเข้าสวมรอยเอาดาบไปฟันแทงซากศพนางยักษ์จนเปื้อนเลือด แล้วนำมากราบทูลเจ้าเมืองว่าพวกตนฆ่ายักษ์ตายแล้ว เจ้าเมืองทรงสำราญพระราชหฤทัยเป็นยิ่งนักที่ยักษ์ตนนี้ถูกฆ่าตาย เพราะเบียดเบียนชีวิตชาวเมืองมาเนิ่นนานหลายปีไม่มีใครปราบลงได้ จึงจัดงานเฉลิมฉลองชัยชนะให้แก่เหล่าพระโอรสอย่างครึกครื้น

            เมื่อมีผู้เก่งกาจสามารถกำราบยักษ์ได้เช่นนี้ เจ้าเมืองพาราณสีมีความคิดถึงพระมารดาซึ่งถูกพวกยักษ์ลักพาตัวไปนานแล้ว ดังนั้นจึงทรงแต่งตั้งให้พระโอรสทั้ง ๖ องค์ออกติดตามหาพระอัยยิกา ที่เมืองยักษ์อันไกลโพ้น เมื่อทราบในพระบัญชาทำให้เหล่าพระโอรสต่างวิตกหวาดกลัวหนาว ๆ ร้อน ๆ กัน เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครมีความสามารถปราบยักษ์ได้แต่อย่างใด แต่เมื่อทรงนึกถึงพระกุมารที่ปราบยักษ์ก็เบาใจลงได้ ดังนั้นเหล่าพระโอรสจึงชักชวนพระกุมารให้ติดตามไปในเมืองยักษ์ด้วยกันเพื่อตามหาพระอัยยิกา พระกุมารทรงอ้ำอึ้งและขอตัวกลับไปขอพระมารดาที่กระท่อม ครั้งแรกพระนางวิมาลาไม่ยินยอมด้วยประการทั้งปวงด้วยเหตุเป็นห่วงพระกุมารแต่เหล่าพระโอรสทั้ง ๖ ได้ขอหมอโหรซึ่งอาศัยอยู่ในอุทยานหลวงช่วยตรวจดวงชะตาให้ ก็รู้ว่าการไปนั้นเป็นเรื่องดี แม้จะพบความยากลำบากถึงเลือดตกยางออกแต่ก็จะได้ดีในภายหลัง พระนางวิมาลาจึงทรงอนุญาติให้ไปโดยไม่เต็มใจนัก

            เจ้าเมืองพาราณสีได้สั่งยกทัพขบวนทหารหาญไปกับเหล่าพระโอรสในวันรุ่งขึ้น มีขบวนช้างม้าดูอลังการยิ่งนัก แต่พระโอรสทั้ง ๖ องค์ได้แอบนัดหมายกับพระกุมารไว้แล้ว ซึ่งเวลานี้พระกุมารยังไม่อาจเดินทางร่วมกับขบวนในทันที เพียงบอกว่าให้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วจะตามไปสมทบภายหลัง

            การยกทัพครั้งนี้ต้องขึ้นเขาลงห้วย ผ่านป่าเขาน้อยใหญ่มาเป็นแรมเดือน ก็ลุมาถึงยังห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ณ เวลานั้น พระกุมารก็ขับขี่หงส์หินตามมาถึงแล้วแวะลงไปสมทบ ทำให้เหล่าพระโอรสถึงกับตกตะลึงยกมือไหว้กันสลอนเมื่อเหลือบเห็นพระกุมารขี่หงส์หินเหาะมาทางอากาศ และยอมรับในความวิเศษ ต่างมีกำลังใจเพิ่มขึ้นและตั้งฉายาให้ว่า  “กุมารหงส์หิน” จากนั้นก็ได้ตกลงกันว่าให้พระกุมารหงส์หินไปตามหาพระอัยยิกาแต่เพียงลำพังส่วนพระโอรสทั้ง ๖ องค์และขบวนที่ติดตามจะเฝ้ารออยู่ ณ ฝั่งมหานทีแห่งนี้ โดยตกรางวัลเป็นทองถึง ๖,๐๐๐ ชั่งแก่พระกุมารหงส์หิน

            พระกุมารหงส์หินยินยอมในข้อเสนอ จึงขี่หงส์หินเหาะข้ามมหาสมุทรได้ ๗ ราตรีก็ไปถึงเมือยักษ์แห่งหนึ่ง ได้พบกับพญายักษ์วัสสะวโร จึงเล่าความจริงให้ฟังว่าเป็นโอรสของเจ้าเมืองพาราณสีมาตามหาพระอัยยิกาซึ่งถูกลักพาตัวมานานแล้ว พญายักษ์เหลือบเห็นรอยรอบพระบาทของกุมารหงส์หินมีรูปดอกบัวก็รู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์อวตารถึงกับขนลุกและนำเครื่องแต่งองค์มาถวายให้ พร้อมกับยกพระนางมุกขวดีลูกสาวให้อภิเษกสมรสด้วย เพียง ๑ ราตรีกุมารหงส์หินก็ขออำลาพระนาง

มุกขวดีออกตามหาพระอัยยิกาในวันรุ่งขึ้นก็อำลาพระนางมุกขวดี เดินทางมาพบเมืองยักษ์อีกเมืองหนึง ได้พบกับพระนางจุลคันธาพระธิดาเจ้าเมืองยักษ์ ได้ตกลงอภิเษกสมรสอยู่ด้วยกัน และบอกลาพระนางจุลคันธาไปตามหาพระอัยยิกาในวันรุ่งขึ้น วันต่อมาเดินทางมาถึงเมืองอีกแห่งหนึ่งได้พบกับพระนางศรีจันทรา และได้อภิเษกสมรสด้วยเป็นลำดับที่ ๓ จากนั้นพระกุมารก็ออกเดินทางไปตามหาพระอัยยิกาในเมืองยักษ์กินคนอันโหดเหี้ยมในดงลึก

            ขณะขี่หงส์หินเหาะไปในอากาศก็ได้พบเมืองยักษ์ผีดิบซ่อนอยู่ในดงใหญ่ จึงลร่อนลงไปหาเกรงกลัวไม่ แต่กลับไม่พบผู้ใดเลยนอกจากพระอัยยิกาที่นั่งอยู่เดียวดายในเรือนด้วยความเศร้าหมอง จึงสอบถามว่าทำไมพระอัยยิกาจึงอยู่เฝ้าเรือนคนเดียว ก็ได้รับคำตอบว่าขณะนี้พวกยักษ์กำลังออกไปหากินในป่า บ่าย ๆ จึงจะกลับมาพร้อมกับสัตว์ที่หาได้ เมื่อสอบถามจึงรู้ว่าพระโอรสคือพระราชนัดดา ทรงปลื้มพระทัยยิ่งนัก จึงพากันขี่หงส์หินหนีออกจากเมืองยักษ์อย่างรีบเร่งก่อนที่พวกยักษ์จะกลับมาจากป่า

            เมื่อพระโอรสและพระอัยยิกาขี่หงส์หินเหาะมาได้ไกลพอประมาณ พวกยักษ์ซึ่งกลับมาจากป่า ก็รู้ได้ด้วยฤทธิ์ญาณแห่งยักษ์ว่าพระกุมารลักตัวพระอัยยิกาไป ก็เหาะติดตามจนพบระหว่างทางจึงเกิดการต่อสู้กันกลางเวหา พวกยักษ์ถูกพระกุมารใช้ดาบวิเศษศรีขรรค์ชัยตัดคอขาดร่วงตายลงเป็นอันมาก ใช้เวลาต่อสู้จนค่ำก็ปราบพวกยักษ์ได้

            วันรุ่งขึ้นก็เหาะผ่านมายังเมืองของพระนางศรีจันทรา แต่มิได้ลงไปรับถึงพื้นล่าง เพียงแต่ตั้งสัจจะอธิษฐานว่าหากเป็นเนื้อคู่กันจิงขอให้นางจงเหาะตามมา  ร้อนถึงพระอินทร์เมื่อทรงทราบเหตุก็บันดาลให้ปราสาททองของพระนางศรีจันทราเหาะตามหงส์หินไป พอผ่านมาถึงเมืองของพระนางจุลคันธาก็เปล่งวาจาอธิษฐานเช่นกัน ปราสาทของพระนางจุลคันธาก็ลอยตามหลังหงส์หินไป จนกระทั่งถึงเมืองของพระนางมุกขวดีก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน และปราสาทของพระนางมุกขวดีก็ลอยเหาะตามหลังรวมกัน ๓ หลัง

            พระกุมารหงส์หินได้พานางทั้งสามหยุดรอที่ฝั่งมหานทีส่วนพระกุมารนำพระอัยยิกาเหาะข้ามน้ำไปหาพระโอรสทั้ง ๖ แต่การณ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง พระโอรสทั้ง ๖ องค์เมื่อได้ตัวพระอัยยิกากลับไม่ปฏิบัติตามสัญญา ซ้ำหาทางกำจัดพระกุมารหงส์หินให้ถึงแก่ชีวิต แล้วชิงพระอัยยิกาขึ้นประทับหลังช้างกลับไปยังเมืองพาราณสี ฝ่ายพระอินทร์เมื่อทราบว่ากุมารหงส์หินถูกฆ่าตายและนางธิดายักษ์ทั้งสามมีความเศร้าโศกโทมนัส จึงลงไปชุบชีวิตให้ฟื้นคืนองค์ และให้พระกุมารหงส็หินพาธิดายักษ์ทั้งสามกลับไปอาศัยยังกระท่อมตายายในป่า แอบหลบซ่อนอยู่กินกันโดยไม่มีใครล่วงรู้

            ฝ่ายเจ้าเมืองพาราณสีทรงพอพระทัยยิ่งนักที่ได้พระมารดากลับคืน  จึงจัดงานสมโภชถึง ๗ ราตรี แต่พระอัยยิกากลับมีวรรณะเศร้าหมองไม่เบิกบาน เจ้าเมืองทรงไต่ถามก็รู้ความว่าคิดถึงพระราชนัดดา จึงนำพระราชนัดดาทั้ง ๖ องค์มาเข้าเฝ้า พระอัยยิกาก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ทุกองค์  เพราะพระราชนัดดาทั้ง  ๖  องค์มาเข้าเฝ้า  พระอัยยิกาก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ทุกองค์  เพราะพระราชนัดดาคนนั้นขี่หงส์หินเหาะไปรับมาจากเมืองยักษ์แล้วหายไประหว่างทาง  เมื่อทราบดังนั้นเจ้าเมืองพาราณสีจึงสั่งให้ตามหาพระกุมารหงส์หิน  โดยจัดงานมหรสพขึ้น  ให้เหล่าเสนาป่าวร้อง เกณฑ์คนมาร่วมสนุกในงาน  แล้วสร้างหอสังเกตอยู่บนซุ้มประตูเมือง  ให้พระอัยยิกาทรงประทับทอดพระเนตรพระราชนัดดาองค์โปรดอยู่บนนั้น

            ไม่ช้าก็พบพระกุมารหงส์หินที่แอบย่องมาเที่ยวในยามดึกเสนาจึงลั่นฆ้องชัย  จากนั้นจึงนำพระกุมารหงส์หินไปเข้าเฝ้า  เจ้าเมืองจึงขอให้เล่าความจริงให้ฟัง  พระกุมารหงส์หินก็เล่าความจริงตั้งแต่พระมารดาถูกขับไล่ออกจากวังไปอยู่ชายป่า  ส่วนพระองค์เองถูกพระอินทร์นำไปชุบเลี้ยง  ตลอดจนเหตุการณ์ฆ่านางยักษ์นอกประตูวังและเหตุการณ์ทั้งหลายในเมืองยักษ์ให้ฟังจนสิ้นความ  เจ้าเมืองรู้สึกสำนึกผิด  และทรงพิโรธมเหสีรองและพระโอรสทั้ง  ๖  องค์ยิ่งนักที่บังอาจประพฤติชั่ว  และสร้างอุบายชั่วร้าย  หลอกให้หลงเชื่อจึงเรียกตัวมาสอบสวนแล้วสั่งประหารชีวิตมเหสีรองและพระโอรสทั้ง  ๖  องค์เสีย

            จากนั้นจึงแต่งขบวนช้างม้าใหญ่โตเข้าไปรับพระนางวิมาลาในป่า  พร้อมสองตายายที่เคยให้ที่พักพิงเข้ามาอยู่ในพระราชวัง  จากนั้นก็จัดงานอภิเษกสมรสให้แก่พระธิดายักษ์ทั้งสามพระองค์  และยกเมืองให้พระกุมารครอบครองมาด้วยความสงบสุขตราบสิ้นอายุขัย

     

                            นิทานพื้นบ้านเรื่อง “หงส์หิน”

        เมืองพาราณสีเป็นเมืองใหญ่ สร้างป้อมปราการและกำแพง ล้อมรอบด้วยแผ่นหินผา ดูบึกบึนโอ่อ่าน่ายำเกรงนัก นับเป็นเมืองที่มีความเข้มแข้งไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครอง ด้านการเมือง หัวเมืองน้อยใหญ่จึงต่างเข้ามาสวามิภักดิ์ยอมส่งส่วยถวายตัวเป็นเมืองขึ้น แต่เจ้าเมืองนี้กลับมีแต่ความโทมนัส ด้วยพระมารดาของพระองค์ได้ถูกพวกยักษ์ลักพาตัวไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่แห่งหนตำบลใดและไม่ทรงทราบข่าวคราวพระมารดาว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

        เจ้าเมืองพาราณสีมีพระมเหสีอยู่ ๗ องค์ คือพระมเหสีเอกและมเหสีรองอีก ๖ องค์ พระมเหสีเอกทรงพระนามว่านางวิมาลา อยู่ต่อมาพระมเหสีทั้ง ๗ องค์ก็ทรงครรภ์พร้อมๆกัน  ครั้นทรงครรภ์ครบ ๙ เดือนพระมเหสีรองทั้ง ๖ องค์ก็มีพระประสูติกาลพระโอรสเป็นที่พอพระทัยแก่เจ้าเมืองยิ่งนักคงเหลือแต่พระมเหสีเอกที่ยังไม่มีพระประสูติกาลตามกำหนดพระนางวิมาลาทรงครรภ์นานถึง ๑๐ เดือน เจ้าเมืองพาราณสีจึงทรงวิตกยิ่งนัก ดังนั้นพระองค์จึงเรียกโหรหลวงมาเข้าเฝ้า และตรัสถามความเป็นจริง

        โหรหลวงได้คิดคำนวณตามตำราโหราศาสตร์ก่อนที่จะเพ็ดทูลขึ้นว่า

        “ขอเดชะ สาเหตุที่ทรงครรภ์นนานถึง ๑๐ เดือนก็เพราะว่าทรงมีพระโอรสและพระโอรสองค์นี้เป็นเนื้อนาบุญแห่งโพธิสัตว์ จักได้เป็นใหญ่มีอำนาจบารมีแผ่ไพศาลในภายภาคหน้า จักมาโปรดบ้านเมืองให้สงบร่มเย็นเป็นขวัญเมือง”

         เจ้าเมืองได้สดับดังนั้นทรงพอพระทัยมาก จึงประทานบำเหน็จรางวัลแก่โหรหลวงตามสมควร

         ข้างฝ่ายพระมเหสีรองทั้ง ๖ องค์ เมื่อทรงทราบคำทำนายโหรก็วิตกไปตามๆกันด้วยเกรงว่าหากพระนางวิมาลามีพระประสูติกาลพระโอรส พระโอรสทั้ง ๖ องค์อันถือกำเนิดแต่ตนก็จะไม่เป็นที่โปรดปรานของเจ้าเหนือหัวอีกต่อไป ดังนั้นพระมเหสีรองจึงหารือวางแผนออกอุบายชั่วร้ายขึ้นมา

          ครั้นถึงเวลามีพระประสูติกาลพระโอรสองค์ที่ ๗ พระมเหสีรองทั้ง ๖ องค์ก็อาสาเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด ขับไล่ให้พวกนางในวังมิให้อยู่ใกล้ชิดดังเดิม ครั้นเมื่อพระโอรสประสูติออกมาก็หาลูกสุนัขที่เพิ่งตกลูกใหม่มาเกลือกกลั้วกับเลือดนำมาไว้แทนพระโอรส ส่วนพระโอรสที่ประสูติออกมานั้นให้นางกำนัลลักลอบนำไปทิ้งนอกประตูวังแล้วใส่ความพระมเหสีว่าทรงมีพระประสูติกาลออกมาเป็นสุนัขและติดสินบนให้โหรทำนายทายทักว่าเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง เมื่อเจ้าเมืองทรงทราบมิได้ทันพิจารณาในความจริงจึงหลงเชื่อในอุบาย ทรงขับไล่ให้พระนางวิมาลาออกจากวังหลวงในทันที

          พระนางวิมาลาทรงเสียพระทัยเป็นยิ่งนัก นางหลงเชื่อว่าลูกสุนัขนั้นคือพระโอรสที่แท้จริง จึงอุ้มลูกสุนัขน้อยซัดเซออกจากวังด้วยความโทมนัสยิ่ง นางได้แต่คิดว่าเป็นบาปกรรมแต่ชาติปางก่อนจึงต้องมาตกอับได้รับความทุกขเวทนาในยามนี้ ความหวังที่จะได้พึ่งพาพระโอรสตามคำทำนายว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการนั้นก็มีอันปลาสนาการไปสิ้น

          นางรอนแรมไปถึงชายป่าพบตายายปลูกกระท่อมอาศัยอยู่เพียงลำพัง จึงขอเข้าไปพึ่งพาอาศัยในฐานะลูกบุญธรรม ซึ่งสองตายายก็รับไว้ด้วยความเต็มใจด้วยเป็นคนมีน้ำใจเมตตาอารีหาได้รังเกียจแต่อย่างใดไม่พระนางวิมาลาทรงเลี้ยงดูลูกสุนัขเป็นอย่างดีเพราะคิดว่าเป็นพระโอรสที่แท้จริง โดยหารู้ไม่ว่าพระโอรสองค์จริงนั้นถูกพระอินทร์ทรงรับเอาไปเลี้ยงไว้บนสรวงสรรค์แล้ว 

 

หลายปีผ่านไป 

            ฝ่ายพระโอรสของพระมเหสีรองทั้ง ๖ องค์บัดนี้เจริญวัยเติบโตเป็นมานพน้อยเที่ยววิ่งเล่นซุกซนเป็นที่โปรดปรานของเจ้าเมืองยิ่งนัก  แม้จะทรงออกวิ่งเล่นเถลไถลไกลหูไกลตาบ้าง  และมักท่องเที่ยวไปนอกเขตพระราชวังอยู่เนือง ๆ แต่ครั้นเมื่อทราบถึงกิตติศัพท์ความเหี้ยมโหดของพวกยักษ์ที่มักมาดักจับกินมนุษย์แถวนอกประตูเมืองก็พากันขยาดหวาดกลัว  ไม่กล้าที่จะออกไปไหนไกล ๆ เท่าไรนัก

            กล่าวถึงพระอินทร์ผู้เสวยสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ครานั้นก็ร้อนถึงทิพยอาสน์

 ทิพยอาสน์ที่เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งกระด้าง ทรงรับรู้ในทันว่าต้องมีเหตุอันไม่สมควรเกิดขึ้นในโลกมนุษย์เป็นแน่แท้  จึงเล็งเห็นด้วยทิพย์ญาณก็รู้ว่าพระโอรสอันกำเนิดจากพระมเหสีเอกแห่งเมืองพาราณสีกำลังได้รับภยันตรายใหญ่หลวงนัก  จึงรีบเสด็จลงมารับเอาพระโอรสขึ้นไปชุบเลี้ยงบนสรวงสวรรค์จนบัดนี้พระโอรสเจริญวัยใกล้เคียงกับพระโอรสขึ้นทั้ง  ๖  องค์  พระโอรสมักสอบถามพระอินทร์อยู่เสมอว่า  พระมารดาของตนคือใครกันแน่  ซึ่งองค์อินทร์ก็มักบายเบี่ยง  มิได้ตรัสความจริงแต่ประการใด

            กระทั่งวันหนึ่งเมื่อพระโอรสเติบใหญ่พอรู้ความ  ก็ทรงซักไซ้ไล่เลียงเช่นเคย  จนองค์อินทร์จำต้องเปิดเผยความจริงว่าพระโอรสมีพระมารดานามพระนางวิมาลา  เป็นมเหสีของเจ้าเมืองพาราณสี  ถูกใส่ความและขับออกจากพระราชวังไปอยู่ในป่ากำลังได้รับความลำบากอยู่กับตายายในโลกมนุษย์  พระโอรสทราบความจริงรู้สึกโทมนัสและคิดถึงพระมารดายิ่งนัก  จึงขออนุญาตไปตามหาพระมารดา  พระอินทร์ก็ทรงอนุญาต  เนื่องจากพระโอรสเจริญวัยเป็นพระกุมารที่เฉลียวฉลาดและเข้มแข็งแล้ว

            แต่การเดินทางไปยังโลกมนุษย์นั้นยาวไกล ดังนั้นพระอินทร์จึงเนรมิตหงส์ยนต์ที่ทำด้วยหิน  เพื่อใช้เป็นพาหนะขับขี่ไปยังเมืองมนุษย์  พร้อมกับมอบดาบวิเศษ 

“ศรีขรรค์ชัย” ให้ แล้วกำชับว่าอย่าเพิ่งเปิดเผยตัวเอง และอย่าให้ใครล่วงรู้ถึงการขับขี่หงส์ยนต์วิเศษ ให้ซ่อนไว้ให้มิดชิดมิให้ใครเห็นพระกุมารรับคำแล้วขี่หงส์หินลงมาจากสวรรค์ตรงดิ่งลงไปบริเวณชายป่าใกล้กับกระท่อมสองตายาย ซ่อนหงส์หินไว้บนต้นไม้ใหญ่แล้วเข้าไปพบพระมารดาแนะนำตนเองว่าคือพระโอรสท่านพระอินทร์เก็บไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม

           ฝ่ายพระนางวิมาลาเมื่อทรงเห็นพระโอรสเป็นผู้มีวรรณะผ่องใสงดงามก็ไม่ยอมวางพระทัยเชื่อง่ายๆนางนึกไปว่าชะรอยกุมารน้อยผู้นี้น่าจะเป็นรุกขเทวดาแปลงกายมาหลอกให้นางดีใจเล่นเป็นแน่ พระโอรสจึงทรงตั้งจิตอธิษฐานขึ้นว่าหากเป็นพระมารดาจริงๆก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงดลบันดาลให้พระกษิรธาราจงพุ่งไหลเข้าพระโอษฐ์ตนเดี๋ยวนี้เทอญ สิ้นคำอธิษฐานพระอินทร์ก็ทรงรับรู้ด้วยทิพยญาณ จึงดลให้พระกษิรธาราของพระนางวิมาลาเคลื่อนไหลพุ่งเข้าสู่พระโอษฐ์กุมารน้อยในทันที พระนางวิมาลาประจักษ์เช่นนั้นถึงกับเป็นลมไม่ได้สติสมประดีด้วยความยินดีปราโมทย์

            เมื่อฟื้นคืนองค์ได้สติก็สวมกอดรัดกันด้วยความโสมนัสพระกุมารทรงถ่ายทอดความจริงที่พระอินทร์ทรงตรัสเล่าให้ฟังว่าพระมารดาถูกใส่ความกลั่นแกล้งจากมเหสีรองทั้ง ๖ องค์นำลูกสุนัขมาไว้แทนตน พระนางวิมาลาจึงทราบความจริง จากนั้นพระกุมารได้อาศัยอยู่กับพระมารดาและสองตายายจนเติบโตเป็นมานพน้อย

ด้วยความซุกซนประสาชายหนุ่มวัยรุ่นพระกุมารจึงได้ออกท่องเที่ยวไปใกล้กับเขตประตูเมืองและได้พบกับพระโอรสทั้ง ๖ องค์ซึ่งมักมาเล่นทอยลูกสะบ้ากันอยู่ประจำ

           พระกุมารเห็นลูกสะบ้าขลิบด้วยทองคำก็นึกอยากได้และอยากจะเล่นทอยลูกสะบ้าพนันกับเหล่าพระโอรสบ้าง จึงกลับมาอ้อนวอนพระมราดาขอให้หาลูกสะบ้าให้ แต่จนใจที่พระนางวิมาลาจะหาให้ได้ ด้วยตนมีฐานะยากจน นางจึงเก็บลูกสะบ้าป่ามาให้แทนพระกุมารจึงนำไปขอเล่นพนันกับเหล่าพระโอรส ซึ่งก็ถูกยิ้มเยาะถากถางเพราะเป็นลูกสะบ้าไร้ค่า พระกุมารจึงเสนอว่าหากตนเล่นชนะก็ขอรับลูกสะบ้าขลิบทองคำแต่ถ้าหากแพ้จะยอมเป็นทาสรับใช้ทุกอย่างพระโอรสทั้ง ๖ องค์จึงตอบตกลง แต่เมื่อเล่นทอยลูกสะบ้าแล้วพระกุมารกลับเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง จึงได้ลูกสะบ้าขลิบทองคำไปให้ตายายและพระมารดานำไปแลกเปลี่ยนสินค้าในเมือง ทำให้ฐานะที่ยากจนดีขึ้นทันตาเห็น

            การเล่นทอยลูกสะบ้าเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ กระทั่งวันหนึ่งพระกุมารกลับบ้านค่ำจึงได้พบกับนางยักษ์ซึ่งดักรออยู่ที่ชายป่านอกประตูเมือง พระกุมารจึงใช้ดาบวิเศษศรีขรรค์ชัยตัดคอนางยักษ์ล้มตายบริเวณชายป่า เมื่อเหล่าพระโอรสทราบความจริงในวันรุ่งขึ้นอยากมีความชอบจึงตกรางวัลแก่พระกุมารให้ปกปิดเรื่องนี้ แล้วพากันเข้าสวมรอยเอาดาบไปฟันแทงซากศพนางยักษ์จนเปื้อนเลือด แล้วนำมากราบทูลเจ้าเมืองว่าพวกตนฆ่ายักษ์ตายแล้ว เจ้าเมืองทรงสำราญพระราชหฤทัยเป็นยิ่งนักที่ยักษ์ตนนี้ถูกฆ่าตาย เพราะเบียดเบียนชีวิตชาวเมืองมาเนิ่นนานหลายปีไม่มีใครปราบลงได้ จึงจัดงานเฉลิมฉลองชัยชนะให้แก่เหล่าพระโอรสอย่างครึกครื้น

            เมื่อมีผู้เก่งกาจสามารถกำราบยักษ์ได้เช่นนี้ เจ้าเมืองพาราณสีมีความคิดถึงพระมารดาซึ่งถูกพวกยักษ์ลักพาตัวไปนานแล้ว ดังนั้นจึงทรงแต่งตั้งให้พระโอรสทั้ง ๖ องค์ออกติดตามหาพระอัยยิกา ที่เมืองยักษ์อันไกลโพ้น เมื่อทราบในพระบัญชาทำให้เหล่าพระโอรสต่างวิตกหวาดกลัวหนาว ๆ ร้อน ๆ กัน เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครมีความสามารถปราบยักษ์ได้แต่อย่างใด แต่เมื่อทรงนึกถึงพระกุมารที่ปราบยักษ์ก็เบาใจลงได้ ดังนั้นเหล่าพระโอรสจึงชักชวนพระกุมารให้ติดตามไปในเมืองยักษ์ด้วยกันเพื่อตามหาพระอัยยิกา พระกุมารทรงอ้ำอึ้งและขอตัวกลับไปขอพระมารดาที่กระท่อม ครั้งแรกพระนางวิมาลาไม่ยินยอมด้วยประการทั้งปวงด้วยเหตุเป็นห่วงพระกุมารแต่เหล่าพระโอรสทั้ง ๖ ได้ขอหมอโหรซึ่งอาศัยอยู่ในอุทยานหลวงช่วยตรวจดวงชะตาให้ ก็รู้ว่าการไปนั้นเป็นเรื่องดี แม้จะพบความยากลำบากถึงเลือดตกยางออกแต่ก็จะได้ดีในภายหลัง พระนางวิมาลาจึงทรงอนุญาติให้ไปโดยไม่เต็มใจนัก

            เจ้าเมืองพาราณสีได้สั่งยกทัพขบวนทหารหาญไปกับเหล่าพระโอรสในวันรุ่งขึ้น มีขบวนช้างม้าดูอลังการยิ่งนัก แต่พระโอรสทั้ง ๖ องค์ได้แอบนัดหมายกับพระกุมารไว้แล้ว ซึ่งเวลานี้พระกุมารยังไม่อาจเดินทางร่วมกับขบวนในทันที เพียงบอกว่าให้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วจะตามไปสมทบภายหลัง

            การยกทัพครั้งนี้ต้องขึ้นเขาลงห้วย ผ่านป่าเขาน้อยใหญ่มาเป็นแรมเดือน ก็ลุมาถึงยังห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ณ เวลานั้น พระกุมารก็ขับขี่หงส์หินตามมาถึงแล้วแวะลงไปสมทบ ทำให้เหล่าพระโอรสถึงกับตกตะลึงยกมือไหว้กันสลอนเมื่อเหลือบเห็นพระกุมารขี่หงส์หินเหาะมาทางอากาศ และยอมรับในความวิเศษ ต่างมีกำลังใจเพิ่มขึ้นและตั้งฉายาให้ว่า  “กุมารหงส์หิน” จากนั้นก็ได้ตกลงกันว่าให้พระกุมารหงส์หินไปตามหาพระอัยยิกาแต่เพียงลำพังส่วนพระโอรสทั้ง ๖ องค์และขบวนที่ติดตามจะเฝ้ารออยู่ ณ ฝั่งมหานทีแห่งนี้ โดยตกรางวัลเป็นทองถึง ๖,๐๐๐ ชั่งแก่พระกุมารหงส์หิน

            พระกุมารหงส์หินยินยอมในข้อเสนอ จึงขี่หงส์หินเหาะข้ามมหาสมุทรได้ ๗ ราตรีก็ไปถึงเมือยักษ์แห่งหนึ่ง ได้พบกับพญายักษ์วัสสะวโร จึงเล่าความจริงให้ฟังว่าเป็นโอรสของเจ้าเมืองพาราณสีมาตามหาพระอัยยิกาซึ่งถูกลักพาตัวมานานแล้ว พญายักษ์เหลือบเห็นรอยรอบพระบาทของกุมารหงส์หินมีรูปดอกบัวก็รู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์อวตารถึงกับขนลุกและนำเครื่องแต่งองค์มาถวายให้ พร้อมกับยกพระนางมุกขวดีลูกสาวให้อภิเษกสมรสด้วย เพียง ๑ ราตรีกุมารหงส์หินก็ขออำลาพระนาง

มุกขวดีออกตามหาพระอัยยิกาในวันรุ่งขึ้นก็อ

หมายเลขบันทึก: 406504เขียนเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2010 16:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 21:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท