หนานเกียรติ
เกียรติศักดิ์ หนานเกียรติ ม่วงมิตร

ปิดเพื่อเปิดรับคนรอบข้าง มือถือใช้แต่พอดี (ตอน ๒)


 

ต่อจากบันทึกที่แล้วครับ

     ในเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องประหลาดสำหรับผม เพราะความไม่ค่อยจะชอบพูดคุยกับใคร ทั้งคุยกันต่อหน้า และคุยกันผ่านโทรศัพท์ ผมจึงไม่รู้สึกอินกับโฆษณานี้เท่าไรนัก

     แต่เพราะผู้คนสนใจกันไม่น้อย ผมจึงมานั่งครุ่นคิดและตั้งข้อสังเกตุ รวมทั้งตอบบางคำถามให้กับตัวเอง

     ผมคิดอย่างนี้ครับ

     วัฒนธรรมการสื่อสารแบบเผชิญหน้า หรือ face to face สำหรับคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะในสังคมเมืองได้เปลี่ยนไปสู่การสื่อสารแบบมีตัวกลางที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากันแล้ว

     ผมสังเกตุน้องและเพื่อนผมจำนวนมากเลย

     เมื่อไม่เจอกันก็จะโทรศัพท์คุยกัน และมีเรื่องให้พูดจากันเป็นวรรคเป็นเวร แต่ครั้นพอเจอหน้ากันแทนที่จะนั่งพูดจากัน ต่างคนต่างโทรหาเพื่อนคนอื่นแล้วคุยกันอย่างเป็นวรรคเป็นเวรเช่นกัน

     และภาพแบบนี้ก็จะพบกับเด็กวัยรุ่นมากเป็นพิเศษ วัยรุ่นจะอยู่กับโทรศัพท์มือถือและใช้มันแทบจะตลอดเวลา มีน้องบางคนบอกผมว่ารวมทั้งในเวลาเรียนด้วย

     ทั้งหมดเป็นภาพที่โฆษณาสะท้อน

     ทำไมผู้คนเหล่านี้จึงมีพฤติกรรมเช่นนี้

     ผมคิดว่าเดี๋ยวนี้คนเราแปลกแยกกับคนรอบข้าง มักไม่ค่อยอยากจะพูดจาสื่อสารกับคนที่อยู่ใกล้ตัว แต่อยากจะพูดคุยกับคนที่อยู่ไกลออกไปจากเรา ไม่ได้อยู่ใน space เดียวกันกับเรา ซึ่งการพูดคุยก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือสื่อสารมาช่วย นั่นก็คือมือถือนั่นเอง

     ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ผมคิดว่าลึก ๆ แล้วคนต้องการสังคม ไม่อยากอยู่คนเดียว ต้องการเพื่อน แต่ก็ไม่รู้สึกดีเมื่อมีคนอยู่ด้วย (ผมหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมเป็นเช่นนี้ ใครคิดได้ช่วยต่อยอดให้หน่อยนะครับ)

     โทรศัพท์รุ่นใหม่ ๆ สนองต่อความต้องการอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี คนเราสามารถใช้โทรศัพท์สื่อสารกับคนอื่นได้ตลอดเวลา ทั้งการพูดคุย การตอบโต้กันผ่านโปรแกรมสื่อสาร เช่น Facebook หรือ ข้อความบน BB เป็นต้น

     ผมจึงสรุปได้ว่าวัฒนธรรมการสื่อสารได้เคลื่อนตัวไปแล้ว จาก face to face เป็นแบบ Facebook ไปเสียแล้ว แต่เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังเห็นว่าค่านิยม face to face เป็นเรื่องดีงาม ผู้คนจึงโดนใจโฆษณาที่กล่าวถึง

     อาจจะมองโลกในแง่ร้ายหน่อยนะครับ

     โลกทุนนิยมไว้ใจอะไรใครไม่ค่อยได้ครับ บริษัทผลิตสินค้ามาเพื่อขายให้ได้กำไรสูงสุดเป็นเป้าหมายหลัก ใช้โฆษณาเป็นเครื่องมือสำคัญในการจูงใจให้คนมาใช้สินค้าของตัวเอง

     ว่ากันว่าคนเก่ง ๆ เดี๋ยวนี้ถูกดึงไปทำงานนี้จำนวนมหาศาล ซึ่งทำให้การโฆษณามีพัฒนาการไปอย่างรวดเร็วและทรงประสิทธิภาพมากขึ้น สังเกตุไหมครับโฆษณาดี ๆ หลาย ๆ โฆษณาในปัจจุบันมักเล่นเรื่องเบื้องลึกในจิตใจของมนุษญ์ ทั้งเรื่องคุณงามความดี คุณค่า คุณธรรม ค่านิยมต่าง ๆ ถูกนำไปใช้จำนวนมกา

     ผมมิได้ตั้งใจกล่าวร้ายกับโฆษณาชิ้นนี้นะครับ ผมเชื่อว่าเขาก็คงมีเจตนาดีอยู่บ้าง

     แต่เชื่อไหมครับ นอกจากการตักเตือนในโฆษณานั้นไม่น่าจะมีผลอะไร เดาต่อไปก็ได้ว่าไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทแน่ ๆ เอาหัวไอ้เรืองเป็นประกันก็ได้

     แต่นี่แน่ ๆ ได้ “ใจ” ไปเต็ม ๆ ครับ

คำสำคัญ (Tags): #มือถือ
หมายเลขบันทึก: 401518เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2010 07:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 20:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดีค่ะ

การชมภาพยนต์โฆษณาส่วนมากมีความสร้างสรรค์น้อยกว่าประโยชน์การหารายได้  และนำเด็ก ๆ มาเป็นพรีเซนเตอร์เสียอีก

วันก่อน เด็กสาว ๆ หน้าตาดีเดินพูดโทรศัพท์เพลิน  สะดุดหกล้มแย่งไม่เป็นท่าที่หน้าโรงหนัง

เคยสังเกตบุคคล....เดินไปพูดโทรศัพท์ไป  มือกุมและมองแต่หน้าจอ นั่งอยู่ก็เล่นอยู่กับจอเล็ก ๆ กดแล้วกดอีกทำท่าหงุดหงิด  ร้านขายโทรศัพท์เต็มไปด้วยลูกค้าวัยรุ่น

มันเป็นเช่นนั้นเอง


สวัสดีครับ

มาเยี่ยมด้วยความระลึกถึง

ครั้งที่แล้วไม่ได้แวะไปทักทาย

เอาสะตอมาฝากครับ

  • สะท้อนความรู้สึกได้ดี
  • แวะมาเยือน

การใช้สื่อเป็นตัวกลางในการติดต่อกันมาก

สิ่งหนึ่งที่พี่คิดคือ....มันไม่เห็นหน้ากันไงคะ  จะพูดยังไงก็ได้เพราะคนฟังไม่เห็นหน้าและแววตาของเรา   แววตามันจะฟ้องถึงสิ่งที่เราพูดว่าจริงหรือไม่จริง  บางคนปากก็คุย   มือก็ทำงาน   สายตาก็สอดส่าย   แล้วอย่างนี้มันจะหาความจริงใจได้จากที่ไหนล่ะน้องหนานเกียรติ

พี่ชอบพูดคุยกันแบบเจอตัวเป็นๆมากกว่าเนาะถ้าเลือกได้.....

หวังว่าคงไม่ลบเม้นท์พี่ออกนะคะ....หุ  หุ

เรียนท่านIco64

  • ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ
  • มีความสุขมากมายค่ะ

เบื่อการโฆษณา ที่ส่งเสริมวัตถุนิยมครับพี่ แบบนี้ต้องไปหาหญ้าปากไอ้กรอก อิอิๆๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท