เรื่องฝากจากพี่อ้อ (ศุภลักษณ์ พริ้งเพราะ) ค่ะ อันนี้เป็นกลเม็ดเคล็ดลับการออกพื้นที่
ที่ได้มาจากประสบการณ์ของคนในพื้นที่โดยตรง
ลองอ่านดู นะคะ เผื่อว่า
"ท่านที่สนใจการทำงานกับชุมชน จะลองหยิบไปใช้บ้าง ดูท่าทาง ท่านจะไม่หวงค่ะ"
ศุภลักษณ์ พริ้งเพราะ......ผู้เขียน
ได้ยินเสียงร้องเพลงดังสนั่นห้องประชุม มองไปที่หน้าเวทีมองยังงัยก็มองไม่เห็นใคร เนื่องจากเสากลางของห้องประชุมบัง หรือว่าจะเป็น น้องสิงโต เดอะสตาร์มา เราก็รีบมองหาใหญ่เลย คิดในใจคงได้เห็นนักร้องก็วันนี้แหล่ะ แต่คิดไปคิดมาคงไม่ใช่หรอกมั๊ง เพราะคนที่มานั่งร้องเพลงอยู่ในห้องประชุม มีอายุหลาก หลายมาก แถมข้าง ๆ เก้าอี้นั่งยังมีตะกร้าหมากวางอยู่ด้วย มีกระทั่งเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน และผู้สูงอายุ ทั้งชายและหญิง จึงเกิดความสัยสัยขึ้นมาอีกครั้งว่า ใครน๊ะ ?
ถึงมีความสามารถดึงทุกคนเข้ามาร่วมทำกิจกรรมได้ขนาดนี้ อยู่ตรงนี้ก็คงไม่ได้รับคำตอบเป็นแน่แท้ จึงเดินออกมาหาคนที่หน้าจะตอบคำถามให้หายสงสัยได้ว่า
เขาผู้นั้นคือใคร ….
สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าชื่อ พี่แต๋ว (คุณอ่อนจันทร์ ภูมี)
เป็นเกษตรตำบลห้วยโพธิ์ จะมีเพลง ประจำตัวเมื่อมีการประชุมทุกครั้งก่อนที่ชาวบ้านจะได้ฟังเนื้อหาสาระด้านการเกษตรจะต้องได้ร้องเพลงปลุกใจกันก่อน เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการเกษตร
สรุปก็คือสื่อสารด้วยบทเพลง
เป็นครั้งแรกที่ได้พบและเจอ จึงตื่น เต้นนิดหน่อย ขอย้ำนิดหน่อย แต่ก็แอบสังสัยว่าพี่คิดได้งัยนี่ค่ะเยี่ยมมากเลย (ขออนุญาตยืมไปใช้บ้างนะคะ)
นั่งรอจนพี่แต๋วบรรยายเสร็จ ไม่ปล่อยให้พี่เขาได้นั่งหายเหนื่อยเลย นั่งปั๊บก็รีบวิ่งเข้าไปหาปุ๊บ (วิ่งจริง ๆ นะ กลัวพี่เขากลับก่อน)
จากนั้นก็แนะนำตัวว่ามาจากไหน
พี่แต๋วก็หัวเราะและบอกว่า
“ไม่อยากจะบอกพี่สามารถด่าได้ตั้งแต่บ้านแรกถึงบ้านสุดท้าย”
โอ้ ! แม่เจ้า ทำได้ขนาดนั้นเลยหรือ
พี่แต๋วก็ยิ้มหวาน ๆ และบอกว่าไม่ยากหรอกน้อง
เริ่มต้นศึกษาชาวบ้านว่าเขาชอบอย่างไร เป็นอย่างไร
พูดง่าย ๆ
รู้เขารู้เรา เสียสละให้เขาบ้าง อย่าให้เขาคิดว่าเรามาเอาแต่ผลงานกลับไปโดยที่เขาไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รู้ว่าเขาขาดตรงไหนเราจะ ต้องไปหามาเสริมให้ จริง ๆ ชาวบ้านเขามีทุกอย่างอยู่แล้ว แต่เราจับให้เป็นกลุ่มเป็นก้อนเห็นเป็นรูปธรรม
อีกอย่างที่สำคัญ เจาะผู้นำให้ได้ โดยมีวิธีการก็คือ คนนั้นจะต้องเป็นคนที่หน้าเชื่อถือ ชาวบ้านยอมรับ เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เมื่อเราได้คนนี้มาทุกอย่างก็ไม่ยากแล้ว และสุดท้ายอย่าทำงานคนเดียวหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ให้ได้ เท่านี้แหล่ะน้องไม่มีอะไรมาก พูดง่ายเวลาสุขก็สุขด้วยกัน เวลาทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน รับรองสำเร็จแน่นอน
(พี่แต๋วจ๋าฟังเหมือนง่ายน๊ะพี่แต่ตอนทำนี่ซิ ไม่อยากคิดต่อเลย ) และเราก็ยิงคำถามไปว่า
พี่แต๋วบอกว่า
พี่ลงทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี 47 อบรมให้ความรู้ที่ข้างคอกวัว เอาความ รู้ต่าง ๆ เข้ามาไม่ว่าถ้าว่างจากหน้านาควรจะทำอะไร เช่นปลูกผัก ก็ปลูกผักแบบปลอดสาร ทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ทำอะไรอีกหลายอย่างเพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่ม และเริ่มรวมเป็นกลุ่ม 2- 3 ปีแรกยังไม่เห็นผลอะไรมากมาย แต่มาเห็นเป็นรูปเป็นร่างปี 50
มีสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือข้าวที่ผลิตที่นี่ได้รับ จีเอพี มีทั้งข้าวและข้าวหงอก จะมีคนมาซื้อถึงพื้นที่ จากนั้นก็จะนำไปขายที่จังหวัดกาฬสินธุ์
ที่นี่จะจัดเป็นแหล่งเรียนรู้ ไม่ว่าหน่วยงานที่เข้ามาเรียน รู้ที่นี่จะเป็นใคร ต้องการที่พัก (โฮมสเตย์) จัดอาหารว่าง หรืออาหารทั้ง 3 มื้อ แม้ กระทั่งต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการทำปุ๋ยหมัก เครื่องจักสาน ฯลฯ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่นี่ไม่ว่าคุณอยากเรียนรู้อะไรเขาก็จะจัดหาทีมวิทยากรมาให้ หรือเมื่อคุณมีความสามารถก็จะชักชวนให้มาเป็นทีมวิทยากรร่วมกัน เป็นการสร้างรายได้ให้กับชุมชน เพราะที่นี่มีทุกอย่างและปลอดภัยด้วย
นี่คือสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับชุมชนนี้ ประมาณ 5 ปีที่พี่แต๋วทุ่มเททั้งกายและใจสู้ทำในสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนว่ายาก แต่พี่แต๋วทำได้ และที่สำคัญที่สุดพี่แต๋วก็ได้ใจชาวบ้านมา และชาวบ้านก็ได้สภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น
สุดท้ายขอกราบขอบพระ คุณพี่แต๋วมากที่ช่วยบอกวิธีการต่าง ๆ เป็นเทคนิคในการออกพื้นที่ กราบขอบพระคุณมากค่ะ
เรื่องนี้อ่านแล้วรู้สึกถึงพลังของคนทำงานกับชุมชน และพลังการเรียนรู้ของคนเขียนได้อย่างเด่นชัดจริง ๆ ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ สำหรับ บันทึกดี ดี (^_^)
ไม่มีความเห็น