ในสังคมพระพุทธศาสนา เมื่อพูดถึงคำว่า “บูชา” ชาวพุทธบางส่วนอาจจะเข้าใจกันว่า หมายถึง การนำเอาดอกไม้ ธูป เทียน ไปสักการะหรือบูชาพระ โดยไม่ได้สนใจความหมายและให้ความสำคัญในเชิงวิชาการเท่าใดนัก ทั้งที่เนื้อหาสาระของการบูชามีความสำคัญต่อการปฏิบัติตนของชาวพุทธอย่างยิ่งในการแสดงออกถึงความเป็นพุทธศาสนิกชนซึ่งจะต้องปฏิบัติตนตามครรลองของพระพุทธศาสนา และที่สำคัญการบูชาก็เป็นส่วนหนึ่งของหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาด้วย ดังเช่นที่ปรากฏในมงคลสูตร นั่นเอง
จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากคัมภีร์ ตำราและเอกสารทางวิชาการต่าง ๆ ทำให้ทราบความหมายของการบูชา ซึ่งอาจจำแนกเป็นความหมายที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและความหมายตามทัศนะทั่วไป ดังต่อไปนี้
ในพระไตรปิฎก มีการกล่าวถึงการบูชาหลายลักษณะ โดยเฉพาะการบูชาที่มีมาก่อนคำสอนเรื่องการบูชาในพระพุทธศาสนา เช่น การบูชาไฟ ด้วยการทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบ ซัดรำ เติมน้ำมัน เติมเนยเพื่อบูชาไฟ[1] และการบูชายัญ ซึ่งเป็นการเซ่นสรวงเทพเจ้าด้วยการฆ่าสัตว์ต่าง ๆ [2] ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการบูชาเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่มีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล และเป็นกริยาที่แสดงถึงความเคารพ นับถือ ภักดีต่อสิ่งที่เชื่อถือ โดยเอาวัตถุมาเป็นเครื่องบูชา ส่วนในพระพุทธศาสนานั้น ความหมายที่แท้ของคำว่า “บูชา” อาจพิจารณาได้จากคำที่เป็นไวพจน์กันดังปรากฎในพระไตรปิฎกหลายแห่ง อาทิ ความตอนหนึ่งในมหาปรินิพพานสูตร ว่า
ข้อความตอนนี้อาจกล่าวได้ว่า การบูชาเป็นการแสดงออกถึงความเคารพนับถือด้วยการแสดงออกทางกาย เช่น การถวายสักการะโดยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และการถวายสักการะด้วยวัตถุต่าง ๆ
อีกตัวอย่างหนึ่ง ดังเช่นที่ปรากฏในพระวินัยปิฎก ความว่า
ข้อความตอนนี้ แสดงให้เห็นลักษณะของการบูชาที่เป็นเรื่องของการแสดงออกถึงความเคารพนับถือและสักการะ โดยการกราบไหว้ ให้เกียรติ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อบุคคลผู้ควรเคารพนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีบางตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การบูชา เป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมด้วยความเคารพนับถืออย่างจริงใจ เช่น ความตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับการรับครุธรรม 8 ประการของพระนางปชาบดี ว่า
จากตัวอย่างข้างต้นนี้ มีข้อที่พึงสังเกต คือ เมื่อกล่าวถึงการบูชา มักมีคำว่า “สักการะ เคารพ นับถือ” ปรากฎพร้อมกับคำว่า “บูชา” เสมอ ๆ ซึ่งในพระไตรปิฎก มีปรากฏคำลักษณะเป็นชุดคำเช่นนี้มากมาย ทำให้สามารถเข้าใจความหมายของการบูชาได้ชัดเจนขึ้น เพราะคำเหล่านี้เป็นเสมือนคำไวพจน์ของคำว่า “บูชา” ก็ว่าได้
ความหมายตามทัศนะโดยทั่วไปในที่นี้มุ่งหมายถึงความหมายตามทัศนะของผู้รู้หรือนักวิชาการศาสนา ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบูชาไว้ ซึ่งผู้วิจัยได้รวบรวมมานำเสนอไว้พอเป็นแนวทางให้เห็นความหมายตามทัศนะของท่านนั้น ๆ ดังนี้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่า “บูชา หมายถึง การแสดงความเคารพบุคคลหรือสิ่งที่นับถือด้วยเครื่องสักการะ มีดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เช่น บูชาพระ บูชาเทวดา บูชาไฟ, การยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือ หรือเลื่อมใสในความรู้ความสามารถ เช่น บูชาวีรบุรุษ บูชาความรู้ บูชาฝีมือ”[6]
จากความหมายตามคำนิยามของราชบัณฑิตยสถานนี้ ความหมายของการบูชา อาจแบ่งออกเป็น 2 นัย ได้แก่
1) การสักการะด้วยวัตถุอันเป็นเครื่องสักการะบูชาด้วยความเคารพนับถือในบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ
2) การยกย่องหรือเลื่อมใสในคุณความดีของบุคคลด้วยความเคารพนับถือ
นอกจากนี้ ยังมีทัศนะของผู้รู้ทรงคุณวุฒิหรือนักวิชาการอื่น ๆ อีกดังนี้
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ได้ทรงนิยามศัพท์คำว่า “บูชา” ไว้มีความหมายว่า “การยกย่องเชิดชู เซ่นไหว้ กราบหรือการแสดงความนับถืออย่างอื่น คือลุกขึ้นยืนต้อนรับ ให้ที่นั่งที่สมควร หลีกทางให้เดิน ตลอดถึงให้สิ่งของหรือรับใช้ด้วยความเคารพนับถือ”[7]
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญานวโรรส ให้ความหมายคำว่า “บูชา” ว่า หมายถึง ”การแสดงความคารวะ ความนับถือ ชื่อว่าบูชา แบ่งออกเป็น 2 คือ อามิสบูชาและปฏิบัติบูชา”[8]
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ให้ความหมายคำว่า “บูชา” หมายถึง “การให้ด้วยความนับถือ แสดงความเคารพเทิดทูน”[9]
ดนัย ไชยโยธา ให้ความหมายไว้ว่า “บูชา หมายถึง การแสดงความเคารพยกย่อง เชิดชู เลื่อมใสบุคคล ผู้มีคุณความดี มีคุณธรรมด้วยความบริสุทธิ์ใจและจริงใจเรียกว่า บูชา”[10]
เกษม บุญศรี ให้ความหมายคำว่า “บูชา” หมายถึง “การสักการะเคารพนับถือ การสนองคุณ”[11]
เทพพร มังธานี ให้ความหมายคำว่า “บูชา” ว่า หมายถึง “การทำด้วยความจริงใจด้วยความเลื่อมใสในความรู้ความสามารถและคุณธรรมจริยธรรมของบุคคลนั้น ๆ” [12]
เมื่อพิจารณาจากความหมายที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและความหมายตามทัศนะทั่วไปร่วมกันแล้ว พบว่า ความหมายของการบูชาในพระไตรปิฎกมีเนื้อหาที่กว้างกว่า ความหมายตามทัศนะทั่วไป โดยข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดได้แก่ ความหมายของการบูชาในพระไตรปิฎกนั้นมีการหมายรวมถึงการปฏิบัติตามธรรมะหรือพระธรรมวินัยด้วยความตระหนักถึงคุณค่าแห่งธรรมะนั้น ๆ และเทิดทูนธรรมะนั้นๆ อย่างสูงส่งด้วย ส่วนจุดร่วมกันของความหมายทั้งสองที่มาก็คือ การบูชาเป็นเรื่องของการแสดงออกถึงความเคารพนับถือในบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพนับถือนั่นเอง
[6] ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2546), หน้า 634
[7] สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี), มงคลในพระพุทธศาสนา (กรุงเทพมหานคร: อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พลับลิ่ง, 2542), หน้า 26 – 27.
[8] สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, สารานุกรมพระพุทธศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2539), หน้า 267 – 268.
[9] พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย,2533), หน้า 140.
[10] ดนัย ไชยโยธา, พจนานุกรมพุทธศาสตร์ (กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส. พริ้นติ้งเฮาส์, 2543), หน้า 125.
[11] เกษม บุญศรี, พุทธมงคล เล่ม 1 (กรุงเทพมหานคร: คุรุสภา, 2507), หน้า 68.
[12] เทพพร มังธานี, มงคล 38 ประการ (กรุงเทพมหานคร: เลี่ยงเซียง, 2541), หน้า 31.
ไม่มีความเห็น