ระยะนี้มีคำถามเกี่ยวกับการที่ชาวพุทธจะนับถือศาสนาคริสต์เพิ่มขึ้น เป็นการนับถือสองศาสนาไปในเวลาเดียวกันได้หรือไม่
การนับถือศาสนาใดย่อมเกิดจากศรัทธา ซึ่งศรัทธาเกิดได้จากหลายๆสาเหตุ เช่น
1 จากการปฏิบัติตามๆกันมา เช่นบรรพบุรุษมีศรัทธาในศาสนา จึงมีการกระทำที่เอื้อเฟื้อต่อศาสนา การได้เห็น ได้ใกล้ชิด ทำให้เกิดศรัทธาตาม
2 การได้พบตัวอย่างที่ดี เช่น เห็นศาสนิก หรือนักบวชในศาสนามีกิริยา วาจา ดี (พระวินัย มีส่วนช่วยให้ผู้ยังไม่ศรัทธามาศรัทธาได้) มีการกระทำที่เกื้อกูลบุคคลอื่นในสังคม จึงเกิดความศรัทธา อันเป็นจุดเริ่มให้ใคร่ศึกษาหลักธรรมในศาสนา ดังเช่นหลังเหตุการณ์ภัยธรรมชาติสึนามิ คริสต์ศาสนิกชนร่วมกันฟื้นฟูสภาพจิตใจ และสภาพความเป็นอยู่ผู้ประสบเหตุอย่างเต็มกำลัง จนทำให้ผู้ประสบภัยศรัทธาและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมาก
3 การได้ฟังธรรม เมื่อพิจารณาตาม เกิดความเข้าใจ จึงเกิดศรัทธาขึ้น
4 การได้พบเห็นศิลปะเพื่อศาสนา เช่น ศาสนสถานต่างๆ รูปบูชา ที่ศาสนิกสร้างด้วยความเพียร ความสวยงามที่ได้พบ ความสงบที่ได้สัมผัส ย่อมโน้มน้าวให้เกิดศรัทธาในเบื้องต้นต่อศาสนานั้นๆได้
5 พิธีกรรมในศาสนา ก็มีส่วนในการเรียกความศรัทธา เนื่องจากพิธีกรรมเปรียบได้กับเปลือกที่รักษาแก่นไม้ แม้จะสำคัญน้อยกว่าแก่นมาก แต่แก่นก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากเปลือก
6 การได้นำคำสอนมาปฏิบัติในชีวิต หรือเพื่อแก้ปัญหาชีวิตจนพบความสุข (เป็นได้ทั้งให้เกิดศรัทธา และเป็นศรัทธาที่แก่กล้าขึ้น)
การนับถือศาสนาพุทธควบคู่ไปกับศาสนาคริสต์ ในระดับจริยธรรมอาจเป็นไปได้ค่ะ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการเผยแพร่พุทธศาสนาของหมู่บ้านพลัมในประเทศฝรั่งเศส ที่ไม่มีการประดิษฐานพระพุทธรูปใดๆ เพื่อให้ศาสนิกในศาสนาอื่น ไม่ลำบากใจ ในการเข้าไปศึกษาวิถีความสงบแบบเซน เนื่องจากทุกศาสนาล้วนมีคำสอนให้ทุกคนเป็นคนดี อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในสังคม
แต่หากบุคคลใดต้องการพัฒนาตนให้ถึงจุดหมายสูงสุดของศาสนาพุทธจะพบว่าคำสอนของสองศาสนานั้นขัดกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่สองศาสนานี้จะเดินคู่กันไปในคนคนหนึ่ง
เช่น ศาสนาพุทธสอนว่าทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย ที่อาจเกิดแบบ (1) ทยอยหนุนส่งกันไปอย่างต่อเนื่อง หรือ (2) อาจเกิดขึ้นพร้อมๆกัน จนก่อให้เกิดเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดสร้างสิ่งใดขึ้นมา สิ่งใดๆ ก็ล้วนไม่เป็นตัวตนถาวร จึงไม่มีความเชื่อทั้งเรื่องผู้สร้าง และผู้ที่ถูกสร้าง เป็นศาสนาแบบอเทวนิยม
ในขณะที่ศาสนาคริสต์มีความเชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า และพระเจ้าคือผู้สร้างทุกสิ่ง (เทวนิยม)
หรือพระพุทธองค์สอนให้เชื่อหลังจากที่ได้พิจารณาแล้ว (ตามที่ปรากฏในกาลามสูตร) ไม่ให้เชื่อแม้ว่าผู้นั้นจะเป็นครูตน
แต่ศาสนาคริสต์สอนให้เชื่อในพระเจ้า
หรือการมีศรัทธาในตถาคตโพธิสัทธา คือ เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อในปรีชาญาณของพระพุทธเจ้า ที่ทรงเข้าถึงความดีงามสูงสุดด้วยปัญญาและความเพียร หรือก็คือ มั่นใจในตนเอง
ความมั่นใจในตนเองในที่นี้ มิใช่ความเชื่อตนเองอย่างเห็นแก่ตัว หรืออย่างมีมานะอหังการ แต่หมายถึง ความมั่นใจตนเองในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง หรือความมั่นใจในความเป็นมนุษย์ของมนุษย์นั่นเอง
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ หน้า 425
เชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ เชื่อว่ามนุษย์สามารถพัฒนาจนถึงที่สุดได้ โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก หรือการอ้อนวอนใดๆ
ซึ่งก็ขัดกับธรรมในศาสนาคริสต์อีกเช่นกัน
ดังนี้เป็นต้น
ดังนั้นคงยากจะตอบได้ ว่าชาวพุทธสามารถนับถือศาสนาคริสต์ควบคู่กันไปได้หรือไม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความ(การ) เห็น ส่วนบุคคลของพุทธศาสนิกชนผู้นั้นเอง
"""""""""""""""
30 ต.ค.2553
พบพุทธพจน์ใน พหุธาตุกสูตร มัชฌิมนิกาย ในพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย (สุตตันต. 6) ดังนี้
"เป็นไปไม่ได้(๑)ที่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ(๒) พึงนับถือศาสดาอื่น แต่เป็นไปได้(๓)ที่ปุถุชนพึงนับถือศาดาอื่น"
(๑) เป็นไปไม่ได้หมายถึงปฏิเสธฐานะ (เหตุ) และปฏิเสธโอกาส (ปัจจัย) ที่ให้เป็นไปได้ (ม.อุ.อ. ๓/๑๒๗/๗๔, องฺ. เอกก.อ. ๑/๒๖๘/๔๐๒)
(๒) บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ในที่นี้หมายถึง พระอริยะบุคคลชั้นโสดาบันขึ้นไป เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือความเห็นชอบ (ม.อุ.อ.๓/๑๒๗/๗๔, องฺ.เอกก.อ. ๑/๒๖๘/๔๐๒)
(๓) เป็นไปได้ ในที่นี้หมายถึงยอมรับฐานะ (เหตุ) ที่ให้เป็นไปได้ (ม.อุ.อ. ๓/๑๒๗/๗๔), องฺ.เอกก.อ. ๑/๒๖๘/๔๐๒)"
ลึกซึ้งมากครับ ผมพยายามใคร่ครวญตาม เป็นไปได้หรือไม่ที่คำว่า พระเจ้า นั้นหมายถึง ความดีอันเป็นนิรันดร์ คนส่วนหนึ่งจึงไม่นับถือศาสนาใดใดหรือถือได้ในหลายๆ ศาสนา เพราะทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี