สูตรลดความอ้วน


สูตรที่ 1

สูตร 5 ลด 7-8 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์
1. มื้อเช้ากินไข่ต้ม 1 ฟองหรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
2. มื้อกลางวันกินสลัดผัก 1 จาน หรือส้มตำ 1 จาน (ไม่หวานนะคะ)
3. มื้อเย็นกินแอปเปิ้ล 1 ผล หรือแฮมนึ่ง 1 แผ่น
4. งดอาหารหลัง 6 โมงเย็น ถ้าหิวให้ดื่มน้ำมากๆ แทน
5. เต้นแอโรบิก 60 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์

 

สูตรที่ 2

      สามารถช่วยให้ลดน้ำหนักได้  7 - 8 กิโลกรัม ใน 2 สัปดาห์

        a.. มื้อเช้า กินไข่ต้ม 1 ฟอง กินได้ทั้งไข่แดงและไข่ขาว ถ้าไม่ชอบกินไข่ ให้กินโยเกิร์ต 1 ถ้วย หรือ นมเปรี้ยว 1 กล่องแทน
        b.. มื้อกลางวัน กินสลัดผัก 1 จาน อาจใส่เนื้อสัตว์ลงไปได้บ้าง แค่เล็กน้อย หรือถ้าไม่ชอบกินสลัดให้กิน ส้มตำแทนได้
        c.. มื้อเย็น กินแอปเปิ้ล 1 ผล ถ้ากลัว ไม่อิ่มให้ดื่มน้ำตามเข้าไปมากๆ แต่ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ให้กินแฮมนึ่งได้ 2 แผ่น
        d.. การออกกำลังกายสำหรับสูตรนี้ คือ เต้นแอโรบิคครั้งล่ะ 1 ชม. ไม่ต้องเต้นทุกวันก็ได้ อย่างน้อยต้อง 4 ครั้ง
        e.. ต่อสัปดาห์

 

สูตรที่ 3

สามารถช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 5 - 7 กิโลกรัม ใน 3 สัปดาห์

a.. เช้า ตื่นมา กินโยเกิร์ต 1 ถ้วยให้อิ่มท้อง โยเกิร์ตจะช่วยเรื่องการขับถ่าย ให้พลังงานน้อย และดีต่อสุขภาพ ถ้าไม่ชอบโยเกิร์ตให้ดื่มนมเปรี้ยวแทน
b.. มื้อกลางวัน กินก๋วยเตี๋ยวน้ำไปเลย 1 ชาม
c.. มื้อเย็น ให้กินผักจิ้มน้ำพริก อนุญาตให้กินปลาทูได้นิดหน่อย ข้าวได้จิ๊ดๆ แต่ถ้างดข้าวได้ก็โอเค
d.. หลังมื้อเย็น อย่ากินอะไรอีก ยกเว้นท้องร้องขึ้นมา หลัง 1 ทุ่ม ให้กิน แอปเปิ้ล หรือส้ม ได้ 1 ผล
e.. เข้าห้องเปิดเพลง เต้นจังหวะมันส์ๆ ประมาณ 1 ชม. ทำแบบนี้วันเว้นวัน หรือถ้าเต้นไม่เป็นจ๊อกกิ้งก็ได้จ้า

 

Workout อย่างไรให้ลดน้ำหนักชัวร์ๆ

 
ลดน้ำหนัก

ต้องรู้...ก่อนลดน้ำหนัก
          
      หลัก การง่ายๆ ที่เราเน้นกันบ่อยๆ ครับ ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เปลี่ยนแปลง คุณควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลอรีเท่ากับที่ใช้ออกไปในแต่ละวัน น้ำหนักตัวที่ได้ก็จะมีค่าคงที่ ในกรณีที่ต้องการให้น้ำหนักตัวลดลง จำเป็นต้องใช้พลังงานออกไปมากกว่าการได้รับพลังงานเข้ามา

      ใน ทางตรงข้ามถ้ารับประทานอาหารเข้าไปมากเกินความต้องการของร่างกาย พลังงานหรือแคลอรีส่วนเกินจะถูกเก็บสะสมในรูปของไขมัน พบว่าการเผาผลาญไขมัน 0.45 กิโลกรัม (1 ปอนด์) จำเป็นต้องใช้พลังงานถึง 3,500 แคลอรีโดยประมาณเชียวครับ

  

     การลดน้ำหนักให้ได้ผล ควรประกอบไปด้วย 3 วิธีดังนี้

     1. ลดปริมาณอาหารหรือแคลอรีที่รับประทานเข้าไปให้ต่ำกว่าปกติ แต่รักษาระดับของการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายให้คงที่

     2. รักษาระดับของอาหารหรือแคลอรีที่รับประทานเข้าไปให้คงที่ แต่เพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้นกว่าปกติ

     3. ปริมาณอาหารหรือแคลอรีที่รับประทานเข้าไปลง และเพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้นในแต่ละวัน

ข้อควรจำ : น้ำหนักที่เหมาะสมในการลดน้ำหนักควรอยู่ระหว่าง 0.45-0.90 กิโลกรัม (1-2 ปอนด์) ต่อสัปดาห์ จะไม่มีผลต่อการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และไม่ทำให้ร่างกายเกิดความเครียดมากเกินไป

 



วิธีออกกำลังกายเพื่อควบคุมและลดน้ำหนัก
     การออกกำลังกายนอกจากจะต้องคำนึงถึงรูปแบบโปรแกรมที่ปลอดภัยและมีประสิทธิผลแล้ว ควรกำหนดโปรแกรมที่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องตลอดไปด้วย เท่าที่พบมาประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่บริหารร่างกายเพื่อการลดน้ำหนัก มักจะเลิกออกกำลังกายกลางคันในเวลาสั้นๆ ทำให้การออกกำลังกายไม่ได้ผลอย่างที่ควรเป็น ดังนั้นใครที่กำลังจะเริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ผมมีวิธีมาแนะนำดังต่อไปนี้ครับ

      ค่อยๆ เริ่มช้าๆ ดูระดับความแข็งแรงและความสามารถของตนเอง อย่าใจร้อนออกกำลังกายหักโหม เพราะอาจได้รับบาดเจ็บและผลที่ได้อาจไม่เป็นไปอย่างที่คิด ทำให้ท้อแท้จนถึงกับเลิกออกกำลังกายไปเลย ถ้าเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ ควรเริ่มด้วยการออกกำลังกายแบบมีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

     ตั้งเป้าหมาย เริ่มจากสั้นๆ ก่อนถ้าทำได้แล้วค่อยๆ เพิ่มเป้าหมายให้ยาวขึ้นหรือหนักขึ้น เช่น ตั้งใจว่าจะเดินออกกำลังกายให้ได้ 25 นาทีในช่วงเดือนแรกและลดน้ำหนักให้ได้ 2-4 กิโลกรัม หลังจากนั้นเข้าร่วมออกกำลังกายในคลาส
ปั่นจักรยานให้ครบ 50 นาทีภายในเดือนที่ 3 และลดน้ำหนักลงให้ได้ 6-12 กิโลกรัม

     มีการบันทึกตารางการออกกำลังกาย เพื่อดูผลความก้าวหน้า ให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ
ในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องต่อไป

     ควรจัดตารางเวลาของการออกกำลังกาย ไว้ในชีวิตประจำวันให้ได้ คุณสามารถเลือกทำกิจกรรม 2 อย่างพร้อมกันในเวลาเดียว เช่น วิ่งบนลู่วิ่งในเวลาที่ต้องดูข่าวทีวี เป็นต้น

     เลือกสถานที่ออกกำลังกายที่สะดวกต่อการเดินทาง

     ข้อนี้สำคัญที่สุดครับ คือ ควรหากิจกรรมออกกำลังกายที่คุณจะรู้สึกชอบและสนุกไปกับมัน เพื่อที่จะปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องและตลอดไปครับ

   

ที่มาข้อมูลจาก นิตยสาร Health Today

 


คำสำคัญ (Tags): #สุขภาพ
หมายเลขบันทึก: 388867เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2010 21:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 17:30 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท