อ่านใจจากธรรมชาติ


ธรรมชาติดินแดนมหัศจรรย์

ความรู้สึกละ  วาง  เหมือนจะเกิดขึ้นเงียบๆ

เบาๆ สมอง......

แต่กลับสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในเวลานั้น

ใบไม้ที่ไหวตามแรงลม

เสียงกระซิบจากลมที่แผ่วเบา

ผีเสื้อที่ล้อเล่นลมจนจับภาพไม่ทัน

กลับกระตุ้นให้เกิดกิเลส

อยากเอาชนะ

แต่แล้วใบไม้ที่กระพริบตาเบาๆ

กลับทำให้ใจถอนออกจากความรู้สึกนั้น

ใจยอมรับและนิ่งฟังเสียงน้ำตกที่ไหลซู่

แล้วจิตใจก็กลับเริงร่าคึกคักขึ้นมากทันที

กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายตื่นตัว

ความรู้สึกสบายๆวิ่งมาขับไล่ความเมื่อยล้าหายไป

ก้าวเดินช้าๆไปตามเสียงน้ำตกที่แอบตะโกนห่างๆ

ดังมากขึ้นๆ เมื่อกายก้าวประชิดหน้าผา

แต่แล้วความรู้สึกใจหายวาบ

เมื่อเห็นความตายรออยู่

เสียววูบไปที่ปลายเท้าทั้งสอง

มันเป็นชะโงกผา

ถอยกลับมาสองก้าวช้าๆ อย่างระมัดระวัง

เมื่อกลัวความตายจะมาเยือน มันยะเยือกและหวั่นไหว

เอ็นร้อยกระดูกอ่อนตัวคล้ายจะร่นตัวลงมากองอยู่แทบเท้า

โธ่เอ๋ย......................ความตาย

เป็นอย่างไรยังไม่รู้

ใจกลับคิดเตลิดและสร้างจินตนาการ

ไปสู่ความเจ็บปวดรวดร้าวทรมาน

สร้างความรู้สึกสยองขวัญให้ความรู้สึกแล้วยังไม่พอ 

ยังส่งประกายความโหดร้ายรุกรานไปทั่วกาย

นี่หรือจิตของมนุษย์   มันปรุงแต่งก่อนเกิด

และมันดับได้โดยไม่บอกลา

สายตาเพ่งไปที่ป้ายข้างหน้า กายนำ หรือใจคิด ใครกันแน่ก่อให้เกิด

ตัวหนังสือนั่นต่างหากที่กระตุกความรู้สึก

มันบอกให้รู้ว่าอันตรายสูงมากรออยู่ข้างหน้า

ก็เห็นจะจริงตามที่มันบอก

แต่

 ก็แค่คำเตือนทำไมจึงผวาง่าย

หรือว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์กลัวความตายทุกคน

ดอกไม้น้อยสีม่วงอ่อนแอบชะง่อนหิน

ช่วยให้กำลังใจดวงน้อยกลับรู้สึกเหมือนมีพลังลึกลับเข้ามา

มันค่อยๆต่อเติมใจที่หายไปจนเกือบเต็ม

สัมผัสน้ำตกที่กระเซ็นมาโดนหน้ากลับเย็นฉ่ำ

แล้วยื่นหน้าไปหาอย่างเผลอตัว เปียก และฉุ่มฉ่ำเย็นกาย และเย็นใจ

เสียงจิ้งหรีดบรรเลงเพลงหวีดหวิวแว่วมาเบาๆ

และกลับกระโชกดังมากขึ้นๆ

ใจกลับรู้สึกถึงภัยที่กำลังตามมา

โธ่เอ๋ย ธรรมชาติของเขา เรากลัวไปเอง

เสียงข้างกายกลับเป็นกำลังใจ

ให้มองธรรมชาติทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น

มันก็เป็นของมันอย่างนี้เอง เราต่าหาก

เราชอบวิ่งเข้าหากิเลส

เราต่างหากที่วุ่นวายกับโลกภายนอกจนลืมโลกของเรา

กลับมาเถิด มาสู่อ้อมกอดของจิตใจ

รับรู้ความรู้สึกผ่านกาย  จากกายสู่ใจ  จากใจ สู่กาย

สัมผัสที่แผ่วเบาแม้เงี่ยหูฟังยังไม่ได้ยิน

แต่.....เพียงแค่เรา

เปิดประตูใจด้วยความรู้สึกที่ดีที่มีต่อสรรพสิ่งรอบกาย

ใจกลับมิต้องเพรียกหาอีกแล้ว

เมื่อธรรมชาติมาอยู่ในใจเรา

ธรรมชาติดินแดนมหัศจรรย์

หมายเลขบันทึก: 384959เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2010 12:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 15:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

สวัสดีค่ะ

* เขียนออกมาได้อารมณ์มากค่ะ  อ่านแล้วจิตนาการตามมองเห็นภาพที่บรรยาย เยี่ยมยอดมากค่ะ

* มนุษย์เราทุกวันนี้ติดกับดักของกิเลส  และมันพอกพูนหนาขึ้นๆ ทุกวัน จิตใจจึงสับสนวุ่นวาย คิดว่าจะต้องอย่างโน้นอย่างนี้ จึงต้องดิ้นรนตะเกียดตะกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...

* หากหยุดและหันกลับมาย้อนมอลงไปในใจของตัวเอง ว่าที่จริงแล้วเราต้องการอะไร  อะไรคือความสุขที่แท้จริง... มนุษย์คงกลับสู่ธรรมชาติมากขึ้น คือความสงบทุกขณะจิตนะคะ

* ขอบคุณข้อความ และแนวคิดในการดำรงตนที่ดีมากนี้คื

* ด้วยความระลึกถึงค่ะ

* มีภาพคุณแม่และเพื่อนๆในกิจกรรมวันแม่มาฝากคุณครูค่ะ  พอจะจำได้หรือเปล่าคะว่าคนไหนคือคุณแม่ของครูใจดี

 

อ่านแล้วขนลุกซู่เชียวครับ

นึกถึงคำพูด อ.ภูมิพัฒ์ สติ เกิด ดับ เกิด ดับ อย่างนั้นนั่นเอง..^^

ด้วยความระลึกถึงครับ

P

ขอบคุณค่ะ

ยินดีกับน้องครูใจดีด้วยนะคะ

คุณแม่ของน้องโชคดีที่มีลูกน่ารักอย่างน้อง

โบราณกล่าวว่าดูนางให้ดูแม่ เห็นท่าจะจริงทีเดียว

P

อิอิ ขนแขนสแตนด์อัพ กับขนลุกซู่ต่างกัน หรือเหมือนกันอย่างไรคะ

มนุษย์กลัวความตายได้อย่างไร ในเมื่อเราทุกคนต่างมาจากความตาย

นึกถึงวงจรของต้นไม้นะคะ สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้คงไม่ต่างกัน

เมื่อเอาการเกิดและการตายมาเทียบ

หากต่างกันที่ผลหลังเกิด หลังตาย

อันเกิดจากการกระทำระหว่างการเกิด และการตาย

ช่วงเวลาของการดำรงอยู่เมื่อการเกิดได้เกิดขึ้นแล้ว

ดำรงไว้นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับอะไรใครรู้บ้าง

แต่รู้เพียงว่าเราต้องสร้างความดี และเรากลัวความไม่ดี

ที่เราสร้างความดีเพราะเรากลัวความหายนะหลังความตาย

เราต่างกลัวว่ามันจะเลวร้าย

อันที่จริงสรรพสิ่งในโลกนี้อาจพึงพอใจชีวิตหลังความตายก็เป็นได้

แต่ความกลัวมันมาเป็นกำแพงกั้นให้เกิดความเข้าใจที่ไม่เป็นจริง

เมื่อเราไม่อาจขจัดความกลัวออกไปจากจิตของเราได้

เราจึงมองหาความดี และพยายามสร้างความดี

เพราะเราเชื่อว่าทำดีย่อมได้ดี

เป็นเช่นนี้หรือไม่

ขอบคุณค่ะ

 

 

สวัสดีครับ

ประทับใจในความธรรมดาของธรรมชาติตามที่เขียนครับ

ความรู้สึกที่คิดถึงอัตตาหลายตัวที่ยังสถิตภายใน อย่างเป็นสัดส่วนกับกิเลส

ขอบคุณสำหรับบางคำที่ให้ข้อคิดสะกิดเตือนใจให้ระลึกอยู่

P

ขอบคุณค่ะน้องติ่ง

พี่เชื่อว่าอัตตาเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับที่มนุษย์เรียนรู้ค่ะ

เกิดการพัฒนาขึ้น และยึดมั่นในความดี ความเก่ง

ที่ตนเองสามารถทำได้แต่คนอื่นทำไม่ได้

หรือทำได้ดีกว่าคนอื่น

และพร้อมๆกันก็เกิดกิเลสปิดบังตัวตนของตนเอง

ลืมวันที่เกิด ลืมและหลงสิ่งที่เกิดขึ้น

ยึดมั่น ตัวกู ของกู ลืมวันเกษียณลาจากวงการ

เหมือนไม้ขอนเก่าๆที่รอวันผุพัง

แต่ถือมานะในตัวตน

แล้วเจ็บปวดกับมานะที่ตนถือว่าดีเหนือคนอื่น

และแท้จริงคือความว่างเปล่า ไม่มีของเราไม่มีของใคร

มาอย่างไรกลับอย่างนั้น แต่เห็นมา ไม่เห็นกลับ

เห็นได้ ไม่เห็นเสีย จำได้ที่ได้มา ลืมได้ที่ได้มา

ก็แค่นี้ ไม่ว่าโลกนี้จะยกให้อยู่หนใด ก็หนีไม่พ้น

วันหนึ่งทุกคนก็จบที่เดียวกัน

ทุกสิ่งเกิดขึ้น แล้วจากไป

เหลือไว้แต่เพียงชื่อเท่านั้นถ้ามีคนจำได้

 

  • มาส่งพี่ต้อยติ่งเข้านอนครับ
  • ฝันดีนะครับพี่

                        *** มาฝึกจิตให้สงบ....เพื่อจะได้พบแสงแห่งธรรมค่ะ ***

                                               

 

มาอ่านบทพรรณาโวหารพี่ต้อย ได้อรรถรสมากๆ คืนนี้ฝันดีแน่นอน ขอบคุณค่ะ

P

ขอบคุณค่ะ

มิน่าพี่หลับลืมตื่นเลย

อยากบอกว่าดอกไม้สวยทุกดองามทุกภาพค่ะ

 

Pขอบคุณค่ะน้องสาว

สาธุ อนุโมทนาด้วยนะคะ

เพิ่งผ่านการประเมิน

โครงการสุขภาพของโรงเรียน

งานที่พี่รับผิดชอบผ่านเกณฑ์

ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มค่ะ

เพราะการลปรร.ในg2k

ทำให้งานยากเป็นง่าย

งานยุ่งยากเป็นงานสนุก

ขอบคุณค่ะ

P

นึกว่าอ่านแล้วได้รางวัล อิอิ

Pooเอ๋ย

พี่รับผิดชอบงานให้คำปรึกษา

ความรัก และการเก็บความลับให้ดี

เป็นงานที่ครูแนะแนวต้องทำให้ได้

แล้ววันหนึ่งเด็กน้อยร้อยใจเข้ามา

เราจะเห็นทางเดินที่สดใส

เราสามารถหาความสุขได้ในวันที่ยุ่งเหยิง

ขอเพียงเรามีสติ ยิ้มรับกับทุกสถานการณ์

ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นในความดี

ความยากจะหายไปกลายเป็นการเรียนรู้

ที่นำไปสู่การต่อยอด และยั่งยืน

ขอบคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท