เสียววูบไปที่ปลายเท้าทั้งสอง
ถอยกลับมาสองก้าวช้าๆ อย่างระมัดระวัง
เมื่อกลัวความตายจะมาเยือน มันยะเยือกและหวั่นไหว
เอ็นร้อยกระดูกอ่อนตัวคล้ายจะร่นตัวลงมากองอยู่แทบเท้า
ยังส่งประกายความโหดร้ายรุกรานไปทั่วกาย
สวัสดีค่ะ
* เขียนออกมาได้อารมณ์มากค่ะ อ่านแล้วจิตนาการตามมองเห็นภาพที่บรรยาย เยี่ยมยอดมากค่ะ
* มนุษย์เราทุกวันนี้ติดกับดักของกิเลส และมันพอกพูนหนาขึ้นๆ ทุกวัน จิตใจจึงสับสนวุ่นวาย คิดว่าจะต้องอย่างโน้นอย่างนี้ จึงต้องดิ้นรนตะเกียดตะกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...
* หากหยุดและหันกลับมาย้อนมอลงไปในใจของตัวเอง ว่าที่จริงแล้วเราต้องการอะไร อะไรคือความสุขที่แท้จริง... มนุษย์คงกลับสู่ธรรมชาติมากขึ้น คือความสงบทุกขณะจิตนะคะ
* ขอบคุณข้อความ และแนวคิดในการดำรงตนที่ดีมากนี้คื
* ด้วยความระลึกถึงค่ะ
* มีภาพคุณแม่และเพื่อนๆในกิจกรรมวันแม่มาฝากคุณครูค่ะ พอจะจำได้หรือเปล่าคะว่าคนไหนคือคุณแม่ของครูใจดี
อ่านแล้วขนลุกซู่เชียวครับ
นึกถึงคำพูด อ.ภูมิพัฒ์ สติ เกิด ดับ เกิด ดับ อย่างนั้นนั่นเอง..^^
ด้วยความระลึกถึงครับ
อิอิ ขนแขนสแตนด์อัพ กับขนลุกซู่ต่างกัน หรือเหมือนกันอย่างไรคะ
มนุษย์กลัวความตายได้อย่างไร ในเมื่อเราทุกคนต่างมาจากความตาย
นึกถึงวงจรของต้นไม้นะคะ สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้คงไม่ต่างกัน
เมื่อเอาการเกิดและการตายมาเทียบ
หากต่างกันที่ผลหลังเกิด หลังตาย
อันเกิดจากการกระทำระหว่างการเกิด และการตาย
ช่วงเวลาของการดำรงอยู่เมื่อการเกิดได้เกิดขึ้นแล้ว
ดำรงไว้นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับอะไรใครรู้บ้าง
แต่รู้เพียงว่าเราต้องสร้างความดี และเรากลัวความไม่ดี
ที่เราสร้างความดีเพราะเรากลัวความหายนะหลังความตาย
เราต่างกลัวว่ามันจะเลวร้าย
อันที่จริงสรรพสิ่งในโลกนี้อาจพึงพอใจชีวิตหลังความตายก็เป็นได้
แต่ความกลัวมันมาเป็นกำแพงกั้นให้เกิดความเข้าใจที่ไม่เป็นจริง
เมื่อเราไม่อาจขจัดความกลัวออกไปจากจิตของเราได้
เราจึงมองหาความดี และพยายามสร้างความดี
เพราะเราเชื่อว่าทำดีย่อมได้ดี
เป็นเช่นนี้หรือไม่
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ
ประทับใจในความธรรมดาของธรรมชาติตามที่เขียนครับ
ความรู้สึกที่คิดถึงอัตตาหลายตัวที่ยังสถิตภายใน อย่างเป็นสัดส่วนกับกิเลส
ขอบคุณสำหรับบางคำที่ให้ข้อคิดสะกิดเตือนใจให้ระลึกอยู่
ขอบคุณค่ะน้องติ่ง
พี่เชื่อว่าอัตตาเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับที่มนุษย์เรียนรู้ค่ะ
เกิดการพัฒนาขึ้น และยึดมั่นในความดี ความเก่ง
ที่ตนเองสามารถทำได้แต่คนอื่นทำไม่ได้
หรือทำได้ดีกว่าคนอื่น
และพร้อมๆกันก็เกิดกิเลสปิดบังตัวตนของตนเอง
ลืมวันที่เกิด ลืมและหลงสิ่งที่เกิดขึ้น
ยึดมั่น ตัวกู ของกู ลืมวันเกษียณลาจากวงการ
เหมือนไม้ขอนเก่าๆที่รอวันผุพัง
แต่ถือมานะในตัวตน
แล้วเจ็บปวดกับมานะที่ตนถือว่าดีเหนือคนอื่น
และแท้จริงคือความว่างเปล่า ไม่มีของเราไม่มีของใคร
มาอย่างไรกลับอย่างนั้น แต่เห็นมา ไม่เห็นกลับ
เห็นได้ ไม่เห็นเสีย จำได้ที่ได้มา ลืมได้ที่ได้มา
ก็แค่นี้ ไม่ว่าโลกนี้จะยกให้อยู่หนใด ก็หนีไม่พ้น
วันหนึ่งทุกคนก็จบที่เดียวกัน
ทุกสิ่งเกิดขึ้น แล้วจากไป
เหลือไว้แต่เพียงชื่อเท่านั้นถ้ามีคนจำได้
มาอ่านบทพรรณาโวหารพี่ต้อย ได้อรรถรสมากๆ คืนนี้ฝันดีแน่นอน ขอบคุณค่ะ
นึกว่าอ่านแล้วได้รางวัล อิอิ
Pooเอ๋ย
พี่รับผิดชอบงานให้คำปรึกษา
ความรัก และการเก็บความลับให้ดี
เป็นงานที่ครูแนะแนวต้องทำให้ได้
แล้ววันหนึ่งเด็กน้อยร้อยใจเข้ามา
เราจะเห็นทางเดินที่สดใส
เราสามารถหาความสุขได้ในวันที่ยุ่งเหยิง
ขอเพียงเรามีสติ ยิ้มรับกับทุกสถานการณ์
ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นในความดี
ความยากจะหายไปกลายเป็นการเรียนรู้
ที่นำไปสู่การต่อยอด และยั่งยืน
ขอบคุณค่ะ