โสภณ เปียสนิท
............................................
“ใบไม้ร่วงควงพลิ้วปลิวผล่อย ฝันเคลิ้มคล้อยเริ่มลอยตามลม ลมเหมันต์เหมือนมีมีดคม กรีดและคว้านอารมณ์ ผ่าอกตรมล้มตาย โอ้ อดีต หวีดวอนมา เรียกให้ข้า....” บทเพลง “แม่สาย” ก้องกังวานในใจผมรอบแล้วรอบเล่าด้วยความยินดี เมื่อผมได้รับทราบคำสั่งให้เดินทางไปร่วมงานสัมมนาที่จังหวัดเชียงรายระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม 2544
จำได้ว่าผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกเมื่อราวปีพุทธศักราช 2515 ขณะแอบไปนอนในป่าราบลุ่มริมฝั่งน้ำแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี หน้าร้อนปีนั้น ร้อนเสียจนชาวบ้านชาวเมืองอยู่ไม่สุข ผมเองนึกถึงภาพของมดไต่กระทะบนเตาไฟ การแอบไปนอนริมน้ำจึงเป็นการคลายร้อนที่ค่อนข้างฉลาดในความคิดของผม
เดินท่อม ๆ มือซ้ายถือวิทยุ ใต้รักแร้มีเสื่อเก่า ๆ ติดอยู่อีกหนึ่งผืน มือขวาถือหนังสือที่ชอบอีกสองสามเล่มตระเวนหาที่เหมาะ ๆ เลือกได้ใต้ร่มไผ่ก่อใหญ่กอหนึ่ง พื้นดินทราย ใบไผ่หนาร่มรื่นดีมาก หลายใบเริ่มกลายเป็นสีเหลืองซีดประปราย ปัดกวาดปรับพื้นทรายแล้วปูเสื่อทับลงไปเป็นอันได้ที่ หมอนใบเล็กติดมากับเสื่อโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ลมเบาบางผ่านลำน้ำนำความชุ่มชื้นมาให้ เอนกายลงนอน เปิดวิทยุฟังนิยายคณะวิเชียร นีลิกานนท์ไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย ไม่นานนักผมเผลอหลับไป
บ่ายแก่ ๆ ผมตื่นขึ้นเห็นแสงอาทิตย์ลอดใบไผ่แต้มทรายเป็นรูปร่างลวดลายแปลกตา ลมกลางฤดูร้อนโยกกอไผ่คล้ายเสียงเพลงแห่งป่า ใบไผ่เหลืองทยอยร่วงลงบนพื้นทราย หลายใบล่องลมเลยไกลหล่นลงในลำน้ำแคว กลายเป็นเรือลำจิ๋วล่องไปตามลำน้ำที่คดเคี้ยวยาวไกลจนสุดตา ทันใดนั้นบทเพลง “แม่สาย” ดังขึ้นโดยผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อเพลงอะไร ในใจผมขณะนั้นไม่รู้ว่าความไพเราะมาจากไหน ภาพใบไผ่ร่วงพลิกพริ้วค่อย ๆ ลอยลงในลำน้ำแควใหญ่ พร้อมกับเสียงเพลงประสานเสริม ช่างเป็นสุนทรียภาพและสุนทรียพจน์ที่อยู่ในความทรงจำของผมชนิดติดแน่นฝังลึกจนถึงวันนี้
ตีสี่ครึ่งของวันที่ 29 พฤศจิกายน 2544 หลังการกราบไหว้บูชาพระรัตนตรัยตามหลักแห่งพุทธศาสนิกชนที่ดี ผมและคณะเริ่มออกเดินทางพร้อมด้วยกระเป๋าใบใหญ่คนละใบอัดแน่นด้วยเสื้อผ้ากันหนาว เนื่องจากทราบข้อมูลว่าอุณหภูมิที่เชียงรายอยู่ที่ 9 องศา รถแล่นผ่านเพชรบุรี กรุงเทพฯ อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ... ผมนั่งมองทัศนียภาพสองข้างทางด้วยความเป็นสุขอย่างเงียบ ๆ ปล่อยความคิดลอยล่องไปตามที่ปรารถนาจะไป ภาพความเก่าแก่แห่งอารยธรรมที่เพชรบุรี ภาพแห่งความรุ่งเรืองของมหานครกรุงเทพฯ ภาพแห่งท้องนากว้างไกลสุดสายตา อันเปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โบสถ์เก่าแก่ วัดร้างกลางทุ่ง พระเจดีย์อิฐแดงยอดหักโค่น พระพุทธรูปเก่ากลางแจ้ง น้อมใจให้คำนึงถึงความรุ่งเรืองชีวิตและความเป็นอยู่แห่งบรรพบุรุษในยุคสี่ห้าร้อยปีที่ผ่านมา อ่างทองและสิงห์บุรีมีความคล้ายคลึงกับอยุธยาโดยภาพรวม
จังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์สองข้างทางส่วนมากเป็นที่ราบลุ่ม ชาวบ้านมีอาชีพทำเกษตรกรรม ผมมองเพลิดเพลินเรื่อยเปื่อยไม่มีความรู้สึกใดที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ครั้นถึงมหานครลำปางหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเขลางค์นคร ผมนึกถึงรถม้า และพระภิกษุชราร่างผอมบางรูปหนึ่ง หลวงพ่อเกษม เขมโก มีเสียงร่ำลือถึงกิจวัตรที่ค่อนข้างแปลกอยู่เสมอ เช่นท่านไม่ติดในรสอาหารจนฉันข้าวบูดเน่าได้ ฉันน้อยมากจนบางครั้งท่านก็ไม่ฉันเสียเลย ท่านเก็บหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ที่ตก ๆ หล่น ๆ มารวบรวมไว้ด้วยความเคารพ รักสันโดษ ชอบอยู่ป่าช้าเป็นประจำ ไม่ค่อยจะจำวัด มักจะนั่งหลับแบบกบ คือนั่งก้มหน้าแล้วหลับเพียงเล็กน้อย ท่านได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวาง จนได้รับสมญาว่าเทพเจ้าแห่งลำปาง ผมถือโอกาสชักชวนเพื่อนพ้องแวะกราบนมัสการอริยสงฆ์แห่งสุสานไตรลักษณ์เพื่อความเป็นสิริมงคล
นั่นนะซี แสดงว่า เชียงราย เป็นเมืองสวยงาม และโรแมนติก
อย่างคุณชำนาญว่าจริงๆ
สวัสดีค่ะ
เคยอยู่เชียงรายตอนเด็ก ๆ ค่ะคุณพ่อย้ายไปที่นั่น นึกถึงอากาศหนาว ...สุดขั้วเลยค่ะ
ระยะหลังไปเที่ยวแบบผู้ใหญ่ รู้สึกดีกับความสะอาดและผู้คนมากค่ะ ไปพักที่ "โรงแรมจาวนา" สวนบ้านนาหลังคาแดง ของครูแปลกที่อำเภอแม่จัน เพื่อน ๆ ที่ไปด้วยติดใจกันทุกคน มีโรงเรียนควายด้วยนะคะ
นึกถึงเพลงแม่สาย เพลงเชียงรายรำลึก...และเพลงที่มีเนื้อร้องว่า...ไป ๆ เตอะไปแอ่วจังหวัดเจียงฮาย
โดยส่วนตัว..ก็เคยอยู่ที่นั่นครับ รู้บรรยากาศดี
เรียนครูคิม แสดงว่ามีความหลังที่นั่นนะซี
ใช่ครับ วันวานในความทรงจำรำลึกแล้วมีสุขดี
กราบนมัสการหลวงพี่ครับ
สมัยโน้นกระผมเคยศึกษาอยู่ในรั้วกำแพงวัด
นานหลายปีครับผม