บันทึกการเดินทางด้วยรอยเท้าของตัวเอง (15) : ...ส่องสำรวจตัวเอง


ผมทอดวางสายตาอ่านวาทกรรมเหล่านั้นทีละป้ายๆ อย่างช้าๆ ...ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกเสมือนว่า ป้ายที่ปักอยู่นั้น เป็นประหนึ่งกระจกที่แขวนไว้ให้เราได้ส่องสำรวจดูตัวเอง

ผมเติบโตมาจากวัด แม้ไม่ถึงขั้นกินนอน
เป็นเด็กวัดก็เถอะ แต่ก็ไม่เขินอายที่จะเรียกตัวเองว่าเด็กวันอยู่ดี  เพราะทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนผมต้องหิ้วปิ่นโตไปตักบาตรที่วัด พอทานข้าวก้นบาตรเสร็จ ก็จัดแจงล้างถ้วยล้างชามพร้อมๆ กับการห่อข้าวห่อปลาไปทานเป็นมื้อเที่ยงที่โรงเรียน 

เสาร์-อาทิตย์ หากไม่ได้ไปเลี้ยงวัว บ่อยครั้งก็ทำหน้าที่ขนน้ำเข้าวัด  ครั้นวัดร้างไม่มีพระจำวัด 
ผมก็รับหน้าที่ไปนอนเฝ้าวัดคนเดียว... 

นั่นคือเรื่องราวโดยสังเขปของชีวิตผมที่ผูกตรึงอยู่กับคำว่า “วัด” 

ทุกวันนี้ในยามมีโอกาสเดินทางเข้าวัด  จะทั้งโดยส่วนตัว หรือพานิสิตและบุคลากรไปทำกิจกรรม
ก็เถอะ  ผมมักถือโอกาสปลีกวิเวกเที่ยวชมวัดอย่างเงียบๆ  บางทีก็ไปดูภาพเขียนสีตามผนังโบสถ์  บางทีก็ดูศาลาหลังเก่า หรือไม่ก็ตู้หนังสือเก่าๆ รวมถึงแวะวนดูพระไม้โบราณๆ  หอระฆัง รวมไปถึงการนั่งสูดอากาศอันเย็นสงบภายใต้ร่มไม้หลากใบ...


 

ล่าสุดวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓  ผมมีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปทอดเทียนพรรษากับชาวหอพักอีกครั้ง – ครั้งนี้จัดขึ้นที่วัดศุภมิตรสิทธาราม  ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม 

ภายหลังขบวนแห่เทียนเข้าสู่ตัววัด พร้อมๆ กับการเคลื่อนพลทั้งหมดขึ้นบนศาลาหลังใหญ่  จากนั้นก็เข้าสู่พิธีทางศาสนา  เมื่อกระบวนการต่างๆ ได้ผ่อนซาลง ผมก็พาตัวเองออกมาเดินทอดเท้าสู่ลานวัดเพียงลำพัง 

ผมเคยบอกกับทีมงานเสมอว่า “เพราะทุกที่มีเรื่องเล่า...ดังนั้นเวลาสัญจรไปที่ไหนสักแห่ง ต้องไม่ลืมที่จะเปิดใจเรียนรู้กับเรื่องราว ณ สถานที่ตรงนั้นให้มากที่สุด บางทีเรื่องเล่าอาจอยู่ในตัวตนของคน หรือไม่ก็อยู่ในส่วนที่ไม่ใช่ตัวตนของมนุษย์  ...ซึ่งทั้งปวงนั้นต้องฉลาดพอที่จะหยิบมาเป็นเรื่องเล่าเพื่อการเรียนรู้ของนิสิต หรือไม่ก็สะกิดให้นิสิตได้สนใจที่จะเรียนรู้และซึมซับเท่าที่เขาพึงใจจะใฝ่รู้




คราวนี้  ผมเลือกที่จะเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้น้อยใหญ่  มองเห็นความชุ่มเขียวอย่างมีชีวิชีวา  มองเห็นความรื่นรมย์อันสงบงามของต้นไม้  มองเห็นความอ่อนโยนของต้นไม้ที่มีต่อนกและแมลงหลากสายพันธุ์  รวมถึงมองเห็นซากใบไม้ที่กองสุมทับห่มคลุมผืนดินราวกับกำลังปกป้องผิวดินจากถูกทำร้ายจากบางสิ่งบางอย่าง... 

และที่สำคัญ  ผมเลือกที่จะเดินจากต้นไม้อีกต้นไปยังอีกต้นอย่างช้าๆ  เพียงเพื่อให้หัวใจของตัวเองได้สดับอ่านถ้อยคำอันเป็นปรัชญาที่ปักยึดอยู่บนลำต้นของต้นไม้แต่ละต้น  ซึ่งภาวะเช่นนี้ มันนานและนานมากแล้วที่ผมไม่เคยได้อ่านวาทกรรมแห่งชีวิตผ่านต้นไม้ในอาณาบริเวณของวัด 


อย่างไรก็ดี  ถึงแม้วาทกรรมที่ปักยึดอยู่ตามลำต้นของต้นไม้ที่ว่านี้ดูเหมือนผมจะเคยพบพาน หรืออ่านผ่านตามาแล้วจากแหล่งต่างๆ ก็เถอะ  แต่ต้องยอมรับว่า  บรรยากาศที่ซึมซับได้จากการอ่านนั้นมันต่างกันลิบลับเลยทีเดียว  ความเข้มขรึมแต่ไม่เคร่งเตรียดในสีพื้นของแผ่นป้ายคล้ายตอกย้ำให้เห็นถึงความหนักแน่นของความหมายแห่งข้อความ ขณะที่สีขาวของตัวอักษร ก็คล้ายสื่อสารให้เห็นความสุขสว่างของชีวิต  ... 

ภายใต้ต้นไม้หลากต้นและสายลมอ่อนๆ ที่หยอกล้อใบไม้อย่างเป็นมิตร  ยิ่งชี้ชวนให้ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า  ที่นี่คือห้องเรียนอีกห้องหนึ่งที่กว้างใหญ่..ร่มรื่นและเงียบสงบ  และเป็นมิตรกับการให้แต่ละคนได้มีเสรีภาพกับการเสาะแสวงหาอะไรๆ ด้วยตัวเองอย่างมากมาย  พร้อมๆ กับการหนุนนำให้เรามีแรงบันดาลใจพอที่จะเงี่ยหูฟังเสียงเต้นของหัวใจของเราเอง


แน่นอนครับ  เมื่อเดินอ่านป้ายที่ปักยึดอยู่ตรงนั้นครบทุกป้าย  ผมก็ถือโอกาสเดินวกกลับไปยังประตูทางเข้าอีกครั้ง  จากนั้นก็เดินย้อนคืนสู่ตัวศาลาอย่างช้าๆ อีกรอบ

ครั้งนี้, ผมทอดวางสายตาอ่านวาทกรรมเหล่านั้นทีละป้ายๆ อย่างช้าๆ ...ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกเสมือนว่า ป้ายที่ปักอยู่นั้น  เป็นประหนึ่งกระจกที่แขวนไว้ให้เราได้ส่องสำรวจดูตัวเองตามจังหวะก้าวของชีวิต
        - เดินเข้าวัดก็ส่องสำรวจตัวตน...
          พอจะเดินออกจากวัด ก็ส่องสำรวจตัวเองอีกครั้ง 
          ถึงแม้จะเร็วเกินกว่าที่จะบอกว่าเราเปลี่ยนแปลงได้กี่มากน้อย 
          แต่อย่างน้อยเราก็ได้อ่านผ่านตาและได้เก็บกลับไปคิดบ้างกระมัง

 

 ..........................................................

ปล. หลายเดือนก่อนหน้านี้ ผมเคยได้ฝากให้หัวหน้าฝ่ายภูมิทัศน์ได้ปรับแต่งสวนหย่อมในหอพักให้ร่มรื่นชวนต่อการเข้าไปพักผ่อน  ทำมุมเล็กๆ นั้นให้เป็น “มุมความสุขของชาวหอพัก”  โดยเบื้องต้นก็ได้ติดตั้งอินเทอร์เน็ตไร้สายให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  พร้อมๆ กับการพูดเปรยๆ ในทำนองว่า  “จะดีหรือไม่หากต้นไม้ในมุมที่ว่านั้น  มีป้ายวาทกรรมสอนใจให้นิสิตได้อ่าน  มีสาระเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ต้นนั้นให้นิสิตได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน”

หรือมหาวิทยาลัย โตเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้นแล้ว !

 

หมายเลขบันทึก: 378838เขียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2010 22:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

ขอบคุณที่แบ่งปันครับ

ผมชอบอ่านป้ายแบบนี้ในวัดเหมือนกัน มีอันหนึ่งเขาเขียนว่า

เราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อเราได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของเราไป

ขอบคุณอีกรอบครับ

สวัสดีครับ

อ่านเพื่อคิด ข้อความเพียงน้อยนิด ช่วยแตกความคิดอีกมากมาย ขอบคุณครับ

สวัสดีจ้า

  • ขอบคุณสำหรับนำข้อความที่อยู่ในวัด มาให้อ่าน 
  • อ่านแล้วได้แง่คิด น่าพึงปฏิบัติตามอย่างยิ่ง
  • น้องๆ ที่ไปแห่เทียนกัน น่ารักจังเลยจ้ะ  ขออนุโมทนาบุญด้วย

สวัสดีค่ะ

ทุกที่มีเรื่องเล่าที่น่าประทับใจจริงๆค่ะ

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ อาจารย์พี่พนัส

เราเรียนรู้จากทุกๆอย่างได้จริงๆค่ะ เพียงแต่เราเอง จะเรียนรู้แบบใด บางทีเราก็เป็นต้นแบบของการเรียนรู้ของบางคนเหมือนกันนะคะ เช่นอาจารย์เป็นต้นค่ะ

อรุณสวัสดิ์คะ

เป็นบันทึกที่อ่านได้ความรู้สึกที่ดีดีในยามเข้านี้มากคะ

ขอให้มีความสุขกับการทำบุญไห้วพระในวันสำคัญนี้

ขอบคุณที่ไปแวะเยี่ยมนะคะ

สวัสดีครับ

แวะมาอ่านข้อธรรมตามต้นไม้ ครับ

หลายๆวัดจะมีป้ายสอนใจเหล่านี้อยู่มากนะครับ

สำหรับผม มองว่า มหาวิทยาลัย ควรมีสิ่งเหล่านี้ คอยกระตุกเตือนสตินักศึกษาบ้าง ให้ย้อนกลับมาดู ว่าสาระชีวิตที่แท้ คือ อะไร

ขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ แผ่นดิน สำหรับบทความนะครับ...

ขอบคุณแนวคิดดีๆครับ อาจารย์พน้ส  คงสบายดีนะครับ

ภาพนี้ได้มาจาก  วัดป่ามหาวนาราม บ้านโนนม่วง ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น อยู่ห่างจาก มข. 1 กม. ในโอกาสไปทอดเทียนพรรษาและผ้าป่าสามัคคีที่กับหอพักนักศึกษาเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 53 ครับ

ครู ป. 1 ไม่ได้ใกล้ชิดกับวัดมากนัก

แต่เชื่อไหมว่า"ข้อคิดข้อธรรม"แบบนี้

"พ่อ" เขียนไว้ที่บ้าน และก็ได้อ่านกันตั้งแต่เด็กๆ

สาธุค่ะ

และตามมาขอบคุณค่ะ ที่ อ.แผ่นดิน แวะมาเยี่ยมที่บล็อกค่ะ

ด้วยความเคารพและ ระลึกถึงค่ะ

                         มาเยี่ยมบ้าน คุณแผ่นดิน ผู้รักษ์ถิ่น

                         ก่อทรัพย์สินทางใจขยายผล

                         เชิดชูศาสน์เป็นรากฐานของเยาวชน

                        ขอชื่นชมในแบบอย่างให้เดินตาม

              Dsc_0417-22

                       

สุขสันต์วันเข้าพรรษา ด้วยต้นกล้วยบัวสีชมพูค่ะสาธุจ้า

สวัสดีครับ อาจารย์

แวะมาเยี่ยมเยียนและทักทายครับ

ขอบคุณ อาจารย์ ที่แวะไปเยี่ยมเยียน

ระลึกถึงเสมอครับ

ไปวัด ทำให้ใจเป็นสุข ได้ข้อคิดหลายๆอย่าง ทำให้ใช้ชีวิตพอเพียงและไม่ประมาท ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆค่ะ

สวัสดีค่ะ

หรือมหาวิทยาลัย โตเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้นแล้ว !

  • เป็นคำถาที่น่าคิด  น่าร่วมเสวนาจริง ๆ ค่ะ
  • บางสิ่งบางอย่างวัดทำได้ แต่มาวิทยาลัยทำไม่ได้
  • อาจเป็นเพราะมหาวิทยาลัยมีบุคลากรมากมาย
  • เหมือน "ช้าง" จะเดินไปไหนทีก็อุ้ยอ้าย
  • ครูอิงเองเคยคิดเปรียบเทียบ  งานใดที่ทำคนเดียว  จะผ่านฉลุย
  • เพราะสามารถตัดสินใจเองได้ทันท่วงที
  • แต่งานใดที่ต้องมีคณะทำงานเป็นทีมใหญ่ งานจะไปได้ช้ามากค่ะ
  • แต่การทำงาน "ทีมงาน"  ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่ยังคงต้องมี
  • ขอบพระคุณนะคะ ที่นำข้อคิดดี ๆ มาแบ่งปัน
  • ที่วัดทางสายก็มีป้ายประเภทนี้อยู่มากค่ะ แขวนไว้ตามกิ่งไม้
  • สวัสดีค่ะ คุณแผ่นดิน
  • ขอบพระคุณที่ส่งภาพบรรยากาศการแห่เทียนไปให้ชม
    เห็นแล้วก็ชื่นใจค่ะ
  • ต้นไม้พูดได้ในวัด  ให้ปรัชญาแนวคิดแก่ผู้เข้าถึงธรรมเสมอค่ะ
  • เมื่อก่อนชอบเดินจดคำคมต่าง ๆ ทุกที่ทุกแห่งที่มีโอกาสได้อ่านหรือสัมผัส
  • อ่านแล้วก็ได้มุมมองชีวิตที่ลึกซึ้ง
  • ขอบพระคุณที่สำหรับบันทึกดี ๆ ที่แบ่งปันค่ะ

สวัสดีค่ะ

       นึกถึงสมัยเป็นเด็กจังเลย  ที่เล่นก็ลานวัด

ไปกันเป็นกลุ่ม (เป็นฝูง)  เล่นด้วยช่วยงานด้วย

ดายหญ้าบ้าง  ตักน้ำใส่ตุ่มบ้าง

น้ำบ่ (น้ำช้าง อิๆๆๆๆๆ)ใช้ไม้ตะขอลากคุขึ้นมา

สนุกมาก ลืมไปแล้วว่าเลิกไปเล่นที่ลานวัด

เมื่อไหร่  สมัยนี้ไม่ค่อยเห็นเด็กเขาเล่นกัน

เนาะค่ะ  มีความสุขนะคะ  คงอิ่มบุญกันถ้วนหน้า

 

 

 

  • สวัสดีคะคุณแผ่นดิน
  • สิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวล้วนแฝงไว้ด้วยปรัญชาชีวิตทั้งนั้นคะอยู่ที่ตัวเราว่าจะใส่ใจหรือมองผ่านเลยไปเท่านั้นเอง
  • อ่านบันทึกนี้แล้วทำให้พบสัจธรรมในชีวิตหลายๆอย่างบ่อยครั้งที่ถามตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่(ในยามที่รู้สึกสับสน)
  • ขอบคุณคะสำหรับเรื่องราวดีๆในวันเข้าพรรษา...

                         

ขอแสดงความยินดีเนื่องในวันสำคัญทางศาสนาครับ

บี๋เห็นด้วยนะคะที่จะทำป้ายวาทกรรมสอนใจ ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ก็ยังต้องการ ข้อคิดดีๆ ให้มาสะกิดใจอยู่เสมอๆ ค่ะ บางคนโดยเนื้อแท้เป็นคนดี แต่หลงลืมตัวไปชั่วขณะพอได้เห็นข้อความดีๆ ก็จะสะกิดใจและคิดได้หรือได้คิดค่ะ

น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน ถ้าเราได้เจอข้อคิดๆดีๆ บ่อยๆ ย่อมซึมเราสู่จิตใจในสักวันค่ะ :-)

สวัสดีครับ..คุณเกเร

คงไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกินการเป็นผู้ให้แล้วกระมังครับ...ซึ่งก็สอดคล้องกับที่คุณได้สะท้อนว่า เราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อเราได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของเราไป

 ทำนองเดียวกันนั้น ก็คงคล้ายกับปรัชญาชีวิตในป้ายบอกธรรม...นี้กระมัง

ขอบคุณครับ

 

สวัสดีครับ อ.รศ. เพชรากร หาญพานิชย์

ผมมีความเชื่อว่า ข้อความที่เขียนบนป้ายแห่งธรรมนั้น เสมือนย่อส่วนของโลกและชีวิตมนุษย์มาให้เราได้ศึกษา หรือแม้แต่การสะกิดเตือนให้เราได้พึงตระหนัก
ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนขบคิด ตีโจทย์ และเข้าใจใน "ป้ายบอกธรรม" นั้นกี่มากน้อย
ผมเองในเรื่องพรรค์นี้ ก็ยังต้องพยายามอย่างมากมายมหาศาล

...

ขอบพระคุณครับ

พี่พนัส

เรียนธรรมใต้ต้นไม้ หรือต้นไม้พูดได้ เป็นแนวคิดที่ดีครับ หากจัดในแถบหอพักนิสิต ผมอยากให้ทุกๆที่ที่เขาอยู่ ได้ฝากแง่คิด/ข้อธรรม หรือแม้แต่รายละเอียดพันธุ์พืชของต้นไม้ต้นนั้น ก็ถือเป็นสาระแก่นสารแก่เขา เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบสังเกตและจดจำพันธ์ไม้ และชอบอ่านข้อความในที่ต่างๆ แม้จะจได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ตาม

7 สิงหาคม นี้ ที่ มข. จะจัดงาน show and share คงได้ไปเก็บเกี่ยวเอาสาระและแนวคิดแปลกใหม่ที่นั่น ครับ

ปีนี้งานสานสัมพันธ์มิตรภาพไทย-ลาว ครั้งที่ 9 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้+มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านพี่จะได้ไปไหมครับ

สวัสดีค่ะอาจารย์

ในวัดมีความสงบ มีธรรมชาติ มีมุมให้ได้เรียนรู้สิ่งดีๆ

เป็นเรื่องเล่าที่มีคุณค่ามากค่ะ

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีคะ อาจารย์แผ่นดิน พี่สุอ่านบทความ การเป็นเด็กที่ไม่หนีห่างจากวัด ทุกอริยบท หรือบทบาทการอยู่ใกล้ชิดวัด  รู้ธรรมมะ จากธรรมชาติของวัดจากเด็กจนเติบใหญ่  และคุณค่า แห่งการเดินทาง ด้วยรอยเท้าตนเอง พร้อมกับการสำรวจการเดินทางแต่ละก้าวไปด้วย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

-ต้นไม้แต่ละต้นในวัดต่างๆๆ  จะเขียนปรัชญาไว้มากมาย แต่ทำไมเวลาอ่านอยู่ที่วัดถึงซาบซึ้ง มากกว่าไปเห็นที่อื่น ทั้งที่เขียนเหมือนกันแต่ดูเป็นธรรมดาไป

-ความเงียบสงบ การเดินช้าๆแต่ละก้าว  พร้อมกับอ่านไปคิดไป ย่อมจะได้ประโยชน์และมีเวลาคิดได้ เหมือนกับกระจกเงาที่แขวนแล้วสะท้อนให้เห็นตนเอง  แต่ถ้า ไปเห็นอยู่ที่อื่นรีบอ่าน รู้แล้ว รู้แล้ว แต่ไม่มีเวลาได้คิด  ก็ไม่มีประโยชน์  แต่ก็ทำแขวนได้ดีกว่าไม่ได้ทำ ถ้าคิดจะทำที่มหาวิทยาลัย คงได้ข้อความเตือนสติมากมาย แต่ต้นไม้มีมากไหมหละคะ แล้วเขาจะสนใจอ่านกันไหม เพราะเขาก็จะว่า รู้แล้ว รู้แล้ว

-ฉะนั้นพี่สุว่า การที่จะเขียนคำเหล่านี้เพื่อเตือนสติ ก็คงเป็นที่เงียบสงบ อ่านแล้วได้คิดตาม ไม่ใช่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไร้สติ ไม่มีเวลาคิด  

-และวัดที่เงียบสงบ บรรยากาศ น่าศรัทธา น่าเคารพเลื่อมใส ก็คงจะเหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่ไร้ความวุ่นวาย มีแต่ความสุขใจ  ช่างปลีกวิเวกจริงๆๆคะ

-ทุกที่ มีเรื่องเล่า จริงๆคะ อาจารย์แผ่นดินคงไม่เบื่อ ที่จะอ่านทีละป้าย ทีละป้าย  แล้วก็คิดตาม นับเป็นการสำรวจตนเองได้อย่างดีเยี่ยมคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท