174. สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับชาวพุทธ...ที่เบดูอิน(ซึ่งเป็นมุสลิม)เห็น


สรุปง่ายเด็กรู้จักบอลโลก ดารานักร้อง มากกว่าศาสนาพุทธของตัวเอง

               ศาสนาถ้าจะว่ากันตามความหมายจริงๆแล้ว อิสลามเป็นมากกว่าศาสนา มากกว่าในเรื่องของพิธีกรรม แต่มันเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ผมได้มีโอกาส สนทนากับพระคุณเจ้าบางรูปในประเด็นนี้ พระคุณเจ้าก็บอกว่าศาสนาพุทธก็เช่นกัน แต่คนในศาสนาไปยึดแค่พิธีกรรมละทิ้งคำสอนที่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เช่นศีลห้า ผมว่าก็เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ถ้าไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ผิดลูกเมีย ไม่ดื่มเหล้า ฯลฯ ชีวิตก็จะมีสุข

                ศาสนาอิสลามสอนให้มุสลิมต้องทำอะไรบ้าง เรียกว่าตั้งแต่ตื่นนอนไปจนกระทั้งเข้านอน ตั้งแต่เกิดไปจนกระทั้งตาย เป็นสิ่งที่ศาสนาเรียกว่า “วายิบ”(สิ่งจำเป็น)ที่มุสลิมทุกคนต้องรู้ ย้ำว่าต้องรู้ทุกคน สิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานที่เรียกว่า “ฟัรดูอีน” มุสลิมคนใดไม่รู้ไม่ได้ เช่น เวลามีคนตาย มุสลิมทุกคนต้องทำด้วยตัวเองได้ หรือว่าการกินอาหารมุสลิมทุกคนต้องรู้ว่าอะไรกินได้ ไม่ได้ การปฏิบัติขั้นพื้นฐานมุสลิมทุกคนไม่ต้องไปรอผู้มีความรู้คนใด สามารถทำเองได้เลยฉะนั้นใครที่อยู่ใกล้สังคมมุสลิม จึงเห็นภาพตั้งแต่เช้าจนมืดว่าเขามีการปฏิบัติตัวอย่างไร

                ในเรื่องการศึกษา ท่านศาสดาสอนว่า “ให้ศึกษาตั้งแต่เปลจนถึงหลุมฝังศพ....” เราจึงเห็นเด็กมุสลิมในเมืองไทยต้องเรียน “ฟัรดูอีน”(ภาคใต้เรียกตาดีกา)ในช่วงเช้าก่อนเข้าเรียนหากโรงเรียนศาสนาอยู่ใกล้กับโรงเรียนประชาบาล หรือช่วงเย็นตอนโรงเรียนเลิก และเสาร์อาทิตย์ นั้นหมายความว่าคุณจะเรียนอะไรก็ตาม ศาสนาขั้นพื้นฐานคุณต้องรู้ ฟันธงได้เลยว่ามุสลิมทุกคนต้องรู้ศาสนา ว่าใช้อะไร ห้ามอะไร ถ้าท่านไปพบมุสลิมไม่รู้อะไรเลย แสดงว่ามุสลิมคนนั้นไปอยู่ถ้ำมา เลยไม่รู้อะไร ทำไมต้องรู้ศาสนาขั้นพี้นฐาน ก็เพราะว่าทุกคนต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

                ช่วงนี้นักเรียนมีการสอบ ผมได้คุยกับครูซึ่งสอนสาระสังคมศึกษา ฯในโรงเรียนวิถีพุทธ ที่มีนักเรียนเป็นพุทธทั้งหมด โรงเรียนก็ตั้งอยู่ท่ามกลางสังคมพุทธ (ทั้งๆที่มีพระมาสอน) นักเรียนในระดับหนึ่งจำนวน 8 ห้องทำข้อสอบเกินครึ่งไม่กี่คน ทำได้แบบดี 3-4 คน ต่ำกว่าครึ่งน่าจะกว่า 80% และที่ได้ทำข้อสอบได้ไม่ถึง 5 ข้อมีมาก ทั้งที่ข้อสอบไม่ยาก ครูท่านนั้นได้นำข้อสอบมาให้ผมดู ผมซึ่งเป็นมุสลิม ผมว่าผมทำได้ทุกข้อครับ คุณครูบอกว่าสงสัยต้องออกข้อสอบให้ง่ายกว่านี้อีก ผมเลยบอกว่าไม่ได้ จะยิ่งทำร้ายเด็กมากขึ้น 

                ท่านครับวิชาที่ว่านั้นคือวิชาพระพุทธศาสนา ผมตกใจมากที่นักเรียนพุทธทำวิชาพระพุทธศาสนาไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นพื้นฐานง่ายๆ เป็นวิถีชีวิต ที่คนพุทธไม่ว่าพ่อแม่ ตัวเด็กเองต้องทำอยู่แล้ว สรุปง่ายเด็กรู้จักบอลโลก ดารานักร้อง มากกว่าศาสนาพุทธของตัวเอง

                ท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนตกใจไหมครับ??.. แต่ผมตกใจมาก มันบอกถึงอะไรกันครับท่าน  

  1. ความล้มเหลวของการศึกษาบ้านเรา

  2. นักการศาสนาต้องประเมินแล้วว่า ท่านได้แนะนำให้ชาวพุทธปฏิบัติในหลักศาสนามากน้อยเพียงใด และท่านทำหน้าได้เพียงใด

  3. แสดงว่าผู้ปกครองไม่ค่อยได้นำหลักของศานาพุทธมาใช้

  4. ผู้สอน(ทั้งพระและครู)ได้ทำหน้าที่เป็นแบบที่ดีหรือไม่

             สิ่งที่น่ากลัวก็คือเด็กพุทธไม่รู้ศาสนาพุทธ พระ พ่อแม่ ครู ต้องคิดแล้วครับ ท่านต้องคิดว่าพวกท่านไปสนใจอยู่ที่พิธีกรรมเท่านั้นหรือไม่ ? การบวชเรียนท่านบวชตามประเพณีอย่างเดียวหรือไม่ ? การเรียนในโรงเรียนเด็กไม่สนใจในวิชาพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? (แต่ไปเก่งในวิชาอื่น) ครูพุทธเองก็ไม่ชอบสอนวิชาพระพุทธศาสนา (เพราะครูก็ไม่ปฏิบัติตามหลักศาสนา)หรือไม่

                ผมเป็นมุสลิมยังห่วงในประเด็นนี้ แล้วท่านที่เป็นพุทธคิดอย่างไร เด็กพุทธไม่รู้พุทธ ต่อไปเด็กไปเป็นศาสนาอื่นๆหรือไม่มีศาสนาเลย จะว่ากันไม่ได้นะครับ ทุกวันนี้เราต้องต่อสู้กับวัฒนธรรมฮอลีวูดและวัฒนธรรมที่ไม่มีศาสนามากขนาดไหน ผมอยากให้ใส่ใจตรงนี้ด้วย

                ประเทศไทย รัฐบาล กระทรวงศึกษา สำนักงานพุทธศาสนาฯ สพฐ.โรงเรียนวิถีพุทธ(ที่ขึ้นป้ายหน้าโรงเรียน) ต้องตอบโจทย์นี้ให้ได้นะครับ

หมายเลขบันทึก: 377349เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2010 09:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 21:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
  • ถ้าจะคุยเรื่องศาสนายาวแน่เลยครับปู่เบย์
  • บ้านเราเป็นพุทธแต่เปลือกครับ
  • ปู่สบายดีนะครับ

P

  • ก็คุยยาวนี่แหละ ดร.ขจิต เลยไม่มีใครอยากคุย
  • เด็กๆเลยไม่รู้
  • ดร.ขจิตอีกคนที่ต้องรับผิดชอบ (หลานผมว่าได้ครับ อิอิ)

สลามฯ  เข้ามาเรียนรู้ครับบัง

ขอบคุณค่ะ..ทุกศาสนามีหลักคำสอนเพื่อให้เป็น "มนุษย์ที่ดี"....ขึ้นอยู่ที่ผู้ปฏิบัติว่าจะ..เข้าใจ..ประยุกต์ใช้..ขยายผล..ได้มากน้อยเพียงใด...

อีกสามชั่วโมงขึ้นวันใหม่ 22 ก.ค..............

เป็นพุทธตามทะเบียนบ้านนั้นหนึ่งแง่         เป็นพุทธตามพ่อแม่แง่ที่สอง

เป็นพุทธตามยถากรรมนับก่ายกอง           ท่านจึงมองเห็นปัญหามาบรรยาย

ที่ท่านฝากถึงหน่วยงานนั้นเห็นด้วย           คำว่า"ห่วย"อ่อนแอแปลความหมาย

มีหน้าที่ทำไม่เป็นเช่นบางราย                  พวกอยากทำทำไม่ได้มากมายมี

ศาสนิกชนมากมายในหลายศาสน์            ควรประกาศปฏิบัติธรรมงามศักดิ์ศรี

มั่นศึกษาให้เข้าใจทำให้ดี                        แผ่นดินนี้ทั้งโลกาสถาพร       

ธรรมะอารมณ์ดี : แลกเปลี่ยนเรียนรู้

ท่านอาจารย์เบดูอิน ศาสนสัมพันธ์ (พุทธ&อิสลาม)

          ธรรมะสวัสดีท่านอาจารย์ เบดูอิน ช่วงนี้มีศาสนกิจมากจึงไม่ค่อยได้เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้อ่านบันทึกของอาจารย์ เรื่อง “สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับชาวพุทธ...ที่เบดูอิน(ซึ่งเป็นมุสลิม)เห็น” ก็มีความเห็นแลกเปลี่ยนอยู่ ๒ – ๓ ประเด็น แต่คงจะแลกเปลี่ยนในเฉพาะเกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นหลัก

        ในประเด็นที่ ๑ ต้องขออนุโมนาในกุศลจิต ที่ท่านอาจารย์ได้แสดงความเป็นห่วงต่อพี่น้องชาวพุทธ ยิ่งได้อ่านบันทึกนี้ก็ยิ่งเห็นความเป็น “ศาสนสัมพันธ์” ของท่านอาจารย์ที่เด่นชัดมากขึ้น และหวังว่าความเป็นห่วงของอาจารย์ครั้งนี้ จะเป็นบทสะท้อนของเพื่อนต่างศาสนา ที่จุดประกายความคิดให้พระสงฆ์นักการศาสนา พ่อแม่ ครู สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ทบทวนบทบาทและหน้าที่ของตนเพื่อการแก้ปัญหาอย่างร่วมมือร่วมใจ ซึ่งต้องยอมรับว่า สิ่งที่อาจารย์เป็นห่วงและเขียนในบันทึกนั้น เป็นความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมของเรามานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และก็คิดว่ามีหลายส่วนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหามาบ้างแล้ว แต่ปัญหาที่ว่านี้ เป็นปัญหาใหญ่ที่มีภาพกว้าง ซับซ้อน ถึงขั้นปฏิรูปกันทีเดียว (ในความเห็นส่วนตัวของอาตมา)

        ประเด็นที่ ๒ ศาสนาเป็นเพียงพิธีกรรม หรือ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต อาตมาก็เห็นด้วยกับพระคุณเจ้ารูปนั้น ว่าความเป็นศาสนาของ “พุทธศาสนา” เป็นวิถีการดำเนินชีวิต (way of life) เพียงแต่พุทธศาสนิกชนบางส่วน (แต่จะส่วนมากหรือส่วนน้อย ก็ลองพิจารณากันดู) ได้เน้นไปให้ความสำคัญกับพิธีกรรมทางศาสนา จนบางทีละเลยที่จะสนใจในเรื่องหลักธรรมที่เป็นหลักพื้นฐานทางศาสนาซึ่งสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งเราจะเห็นว่า หลักการปฏิบัติพิ้นฐานของชาวพุทธ ก็สวนทางกับวิถีชีวิตของชาวพุทธในปัจจุบัน ซึ่งในประเด็นนี้อาตมาคิดว่า เรื่องการปฏิบัติตนของศาสนิกชนที่สวนทาง หรือ ขัด กับคำสอนทางศาสนานั้น คงจะเกิดขึ้นในทุกศาสนา ไม่ว่า พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู เพียงแต่จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลหลายประการ เช่น การเผยแผ่และการทำงานเชิงรุกของนักบวชในศาสนานั้นๆ ความเคร่งครัดในการนับถือศาสนา หรือแม้การไหลบ่าเข้ามาของวัตถุนิยมและบริโภคนิยม แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนและการสำนึกรู้ต่อหน้าที่ในฐานะศาสนิกชนในแต่ละคนเป็นสำคัญ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ขององค์กรศาสนาแต่ละศาสนาที่จะต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทในการทำหน้าที่ของตนให้มากชึ้น

      ประเด็นที่ ๓ เรื่องการทำข้อสอบวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียน ที่ท่านอาจารย์ตกใจมากที่นักเรียนพุทธทำวิชาพระพุทธศาสนาไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นพื้นฐานง่ายๆ เป็นวิถีชีวิต ที่คนพุทธไม่ว่าพ่อแม่ ตัวเด็กเองต้องทำอยู่แล้ว ซึ่งอาจารย์สรุปว่า เด็กรู้จักบอลโลก ดารานักร้อง มากกว่าศาสนาพุทธของตัวเองนั้น ทำให้อาตมานึกถึงวันหนึ่ง ขณะที่สอนวิชาพระพุทธศาสนา แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษานตอนปลาย วันนั้น อาตมาสอนเรื่องวันวิสาขบูชา กำลังจะเขียนเนื้อหาบนกระดานดำ เด็กนักเรียนคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “พระอาจารย์ครับ ผมเรียนเรื่องวันวิสาขบูชามาตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา ผมเรียนซ้ำอย่างนี้ทุกปี” อาตมาคิดในใจว่า ก็ใช่ของเด็ก ในแต่ละครั้งในการสอนธรรมะแก่เด็กนักเรียน เราจะยกตัวอย่างการอธิบายวันวิสาขบูชา ให้เด็กนักเรียนจะรู้ว่า 1. วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน 2. ตอนเย็นไปเวียนเทียน ฯลฯ แต่เราไม่เคยวิเคราะห์ หรือ ถอดรหัสวันวิสาขบูชาให้เด็กนักเรียนหรือแม้แต่ชาวพุทธทั้งหลาย ได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ในสาระสำคัญของวันวิสาขบูชาในอีกมุมมองหนึ่งว่า “วันวิสาขบูชา เป็นกระบวนการพัฒนาชีวิตอย่างมีคุณค่า” อาตมาจึงเกิดแรงบันดาลใจในการถอดรหัสวันวิสาขบูชา เพื่อชวนให้นักเรียนได้เรียนรู้การพัฒนาชีวิตอย่างมีคุณค่า ผ่านการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน

        ซึ่งเรื่องที่เล่ามานั้นก็สะท้อนให้เห็นหลายอย่าง เช่น ความล้มเหลวของการจัดการศึกษาในสังคมไทยซึ่งจะเห็นได้ว่าค่านิยมการส่งเสริมให้เด็กเก่งในเรื่องวิชาการ เด็กจะมีความรู้สึกว่า ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง ๘ กลุ่มสาระ กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระที่เด็กนักเรียนให้ความสำคัยน้อยที่สุด (ในความเห็นของอาตมา ผิดถูกประการต้องขออภัย)

       ในด้านของนักการศาสนา หลายครั้งที่เรานึกชื่นชมในเคร่งครัดของเพื่อนต่างศาสนาว่ามีความมั่นคงต่อศาสนาของตน ซึ่งเป็นข้อดีประการหนึ่งในการปลูกฝังคุณธรรมแก่ศาสนิกชน แต่ในส่วนพุทธศาสนาแล้วเราอาศัยการเกิดขึ้นของศรัทธาของผู้ปฏิบัติเป็นที่ตั้ง คือ ถ้าเห็นว่าดี ก็เข้ามาศึกษา จึงอาจทำให้รู้สึกว่าความเคร่งครัดของชาวพุทธหย่อนยานไปบ้าง

        ในส่วนของผู้ปกครองนั้น ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ว่าโลกเจริญขึ้นทางวัตถุ ทำให้เวลาและการดูแลเอาใจใส่ต่อลูกของครอบครัวลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งจริงๆแล้วอาตมาเห็นว่า ครอบครัว เป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดในการปลูกฝังคุณงามความดี หลักการปฏิบัติทางศาสนาได้ดีที่สุด แล้วถ้าจำไม่ผิดสมัยอาตมาเป็นเด็กก็เป็นเช่นนั้น คือ พ่อแม่พาไปวัด สอนให้ไหว้พระ กราบพระ สวดมนต์ ทำบุญตักบาตร สอนว่าอันนั้นควร ไม่ควร ก่อนที่พระสงฆ์ท่านจะสอนเสียอีก ในสมัยนี้ไม่ทราบว่าบทบาทตรงนี้ของครอบครัวยังมีการปฏิบัติกันบ้างหรือไม่ในครอบครัว

        ว่ากันมาซะเนิ่นนาน ก็หวังว่าบันทึกจะช่วยบันทึกของอาจารย์ในการสะท้อน และจุดประกายให้พระสงฆ์นักการศาสนา พ่อแม่ ครู สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ตอบโจทย์ที่ว่านี้ กันอีกแรง ในขณะที่เขียนบันทึกนี้ อาตมาก็หาวิธีตอบโจทย์นี้ เหมือนกัน ครับท่านอาจารย์

        หมายเหตุ อาตมาลงบันทึกนี้ไว้ในบล็อกของอาตมาด้วย

P

  • พระคุณเจ้าครับ ผมจะนำการแสดงความเห็นของท่านเป็นบันทึกใหม่ครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท