ปฏิรูปประเทศไทย ในมุมมองของผม


ทำอย่างไรข้าราชการจึงจะเข้าใจว่าพวกเขาคือ “ข้ารับใช้แผ่นดิน”
            เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่พูดกันเรื่อง “ปฏิรูปการศึกษา” ผมได้แสดงมุมมองว่า ไม่ต้องคิดอะไรให้อลังการณ์จนเกินไป “แค่ปฏิรูปครู ปฏิรูปผู้บริหาร (ในกระทรวง ในโรงเรียน) ให้ได้” แค่นี้การศึกษาก็ได้รับการปฏิรูปแล้ว . . . มาถึงวันนี้หลังจากที่มีการพูดเรื่อง “ปฏิรูปประเทศไทย” ผมเองก็ยังรู้สึกคล้ายๆ เดิมว่า เรามาผิดทาง(กันอีก) หรือเปล่า? คิดกันมากเกินไปหรือเปล่า? เพราะเพียงแค่เราปรับทัศนคติ ปรับเปลี่ยนความคิด (พฤติกรรม) ของ “นักการเมือง และข้าราชการ” ได้ (อาจจะไม่ทุกคน แต่พยายามให้มากที่สุด) แค่นี้ประเทศไทยก็เปลี่ยนไปแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือการปฏิรูปประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้หากมีการ “ปฏิรูปนักการเมืองและข้าราชการ” 


            ผมว่าโจทย์ใหญ่อยู่ที่ว่าทำอย่างไร “ข้าราชการ” จึงจะ “เข้าใจ” (ผมหมายถึง “เข้าไปในใจ”) ว่าพวกเขาคือ “ข้ารับใช้แผ่นดิน” เป็นผู้ที่ทำงานรับใช้ในหลวง เป็น “ข้าของในหลวง” ที่รับใช้ “ปวงประชา” หาใช่เป็น “เจ้านาย” ที่ไปปฏิบัติต่อประชาชนเยี่ยง “ขี้ข้า” แต่อย่างใดไม่ ที่พูดเช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าราชการจะเป็นเช่นนั้นทุกคนนะครับ ที่ทำตัวน่ารักก็มีมาก เพียงแต่ว่ายังมีน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง สำหรับประเด็นเรื่องนักการเมือง ผมคงไม่ต้องสาธยายให้มากความ เพราะเราต่างก็รู้ซึ้งกันดีว่าประเทศนี้มีนักการเมืองที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและคนในครอบครัวมากเหลือเกิน พวกที่บอกว่าตนมีความเป็น “มืออาชีพ” ก็ยังหลุดไม่พ้นการแสวงหาประโยชน์ให้หมู่คณะหรือพรรคการเมืองต้นสังกัด ที่จะทำเพื่อชาติบ้านเมืองจริงๆ นั้น มันช่างมีน้อยเหลือเกิน


            ด้วยเหตุนี้ผมจึงยืนยันว่าถ้าเราอยากเห็นประเทศไทยได้รับการปฏิรูป Target Group หรือกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจ ผมว่าน่าจะอยู่ที่บรรดานักการเมืองและข้าราชการ อย่าเพิ่งไปวุ่นวายกับชาวบ้านเลยครับ ปล่อยให้เขาอยู่ของเขา Leave them alone เถอะครับ ! 
หมายเลขบันทึก: 376777เขียนเมื่อ 19 กรกฎาคม 2010 15:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 21:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

ลองอ่าน หนังสือ ของผู้บริหาร 7 eleven

เรื่องการแก้ปัญหา คอรัปชั่น ฮ่องกง ดูครับ

เพราะ ฮ่องกง เมื่อ 40 ปี ก่อน คอรับชั่นมากกว่าไทยหลยเท่า

แต่ปัจจุบัน กลายเป็นฮ่องกง มีข้าราชการซื่อสัตย์ที่สุดในโลก

เอ วันนี้ มา ดุดุ นิ ปฎิรูป ให้ เข้า ไป ใน ใจ เจ้า ของ เห็นชอบ ครับ กระผม

...อ่านแล้ว..(เก็จจริงๆ)..เห็นด้วย..ลงคะแนนเต็มร้อยเจ้าค่ะ..Leave them alone..อิอิ..ยายธีเจ้าค่ะ

ต้องหาอ่าน 7 eleven ที่คุณศุภรักษ์แนะนำเสียแล้วล่ะครับ ระบบอุปถัมถ์บ้านเรามันหยั่งรากแก้วครับ ไม่ว่าวงการไหน (ราชการ ธุรกิจ การศึกษา NGO) สำหรับชาวบ้านเข้ามายุ่งได้ยิ่งดีครับ เยอะๆ ด้วย ปรัชญาชาวบ้านนี่แหละประยุกต์ใช้ได้ดีนักแล .....

ข้าของนายหลวง รับใช้ปวงประชา ชอบมากๆครับ

ที่ผมทิ้งท้ายว่า . . . "อย่าเพิ่งไปวุ่นวายกับชาวบ้าน ปล่อยให้เขาอยู่ของเขา Leave them alone !" นั้น เป็นเพราะผมเชื่อว่าเขาบอก "ความต้องการ" ของเขามาหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ปัญหาก็คือ "กลไกของรัฐ (คนของรัฐ)" ไม่สามารถจัดให้เขาได้ นักการเมืองก็ทำกันแบบ "ไฟไหม้ฟาง" วูบวาบขึ้นมาเป็นบางครั้ง แล้วก็หายไป ชาวบ้านร้องเพลงรอ จนคอแห้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้สิ่งที่ขอ . . พอแค่นี้ก่อนนะครับ รู้สึกว่ายิ่งบ่น พลังก็ยิ่งหมด ขอตั้งหลักใหม่ ใช้ Positive Approach ดีกว่า

เรียนอาจารย์ครับ ..เพิ่งอ่านKM ฉบับขับเคลื่อน LOของอาจารย์ เสร็จเมื่อ ซัก 2อาทิตย์ที่ผ่านมา โดนดีครับ แล้วก็ได้ไปเป็นคณะทำงานคุณอำนวยร่วมกับเพื่อนๆทีมรักลูก ในเวทีสัมมนาถอดบทเรียนประจำปีของคณะคุณอำนวยชุมชน ในโครงการเล่านิทานอ่านและเล่นกับลูกฯ ในเวทีใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) เป็นเครื่องมือหลัก ซึ่งในมุมของผมมันเป็นเรื่องเดียวกันกับ KM ที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาแบ่งปันมาโดยตลอด ได้ เห็นพลังของเวทีแล้วก็เป็นปลื้ม อิ่มเอมไปกับเวที(เกือบ200คน) สุภาพสตรีที่ร่วมเวทีท่านหนึ่งออกมาสะท้อนความรุ้สึกและสิ่งที่ได้จากเวทีอย่างมีชีวิตชีวา เธอบอกว่า "เห็นทางรอดประเทศไทยแล้ว" ....และผมได้คุยส่วนตัวกับคุณหมออนามัยท่านหนึ่งจากจ.บุรีรัมย์ โดยถามเธอว่า "เธอเรียนรู้อะไรจากการเข้ามาร่วมในโครงการนี้..?" เธอบอกว่า "เรียนรู้ว่าที่ผ่านมาเธอใช้ความรู้มากเกินไป เพราะเธอฝึกอบรมมาเยอะเหลือเกิน แต่ในโครงการนี้ได้เปิดพื้นที่ให้คนตัวเล็กตัวน้อยได้ร่วมกันสร้างความรุ้จากประสบการณ์ตรงของแต่ละคน ซึ่งนำไปสู่พลังของทั้งบุคคลและของทีมซึ่งเธอไม่เคยเจอมาก่อน เธอในฐานะข้าราชการผู้มุ่งมั่นและผ่านแรงเสียดทานจนเกือบจะถอดใจเธอบอกว่าเธอพบหนทางแล้วครับ" ซึ่งในมุมของผมผมตีความว่าคือหนทางที่ทำให้ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน และการเรียนรู้ดำเนินไปด้วยกันอย่างมีพลังและความสุข.... ในฐานะอดีตข้าราชการ ในฐานะลูกศิษย์ของอาจารย์(แอบโมเมเลยครับ) ในฐานะคนไทยและมนุษย์ธรรมดาตัวเล็กๆคนหนึ่งขอเป็นกำลังใจและจะเฝ้าติดตามเรียนรู้จากอาจารย์ต่อไปครับ

การปฏิรูปประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้หากมีการ “ปฏิรูปนักการเมืองและข้าราชการ”

เห็นด้วยกับท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ

ขอบคุณมากครับพี่ sandusit . . อ่านเรื่องเวทีที่พี่เล่ามา โดนใจมากเลยครับที่มีผู้สะท้อนว่า . . "เห็นทางรอดประเทศไทยแล้ว" สำหรับอีกท่านหนึ่ง (หมออนามัย) ที่พูดว่า . . “ที่ผ่านมาเธอใช้ความรู้มากเกินไป ฝึกอบรมมาเยอะเหลือเกิน แต่ในโครงการนี้ได้เปิดพื้นที่ให้คนตัวเล็กตัวน้อยได้ร่วมกันสร้างความรู้จากประสบการณ์ตรงของแต่ละคน ซึ่งนำไปสู่พลังของทั้งบุคคลและของทีมซึ่งเธอไม่เคยเจอมาก่อน" นี่คือสิ่งที่ผมได้ยินมาโดยตลอด 6-7 ปีที่ทำหน้าที่ส่งเสริมเรื่อง KM

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตอนที่ผมไปจัดให้สาธารณสุขจังหวัดตราดได้มีการทดลองแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน มีท่านหนึ่งที่มาจากอำเภอคลองใหญ่ก็พูดไว้คล้ายๆ กัน และที่สำคัญตอนที่เธอพูดนั้น ดูแวววตามีประกายฉายแสงแห่งความสุขออกมา พลอยทำให้ผมมีความสุขใจไปด้วย แต่ที่ผมประทับใจมากก็คือประโยคสุดท้ายของพี่ sandusit ที่ว่า . . “ในมุมของผม ผมตีความว่านี่คือหนทางที่ทำให้ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน และการเรียนรู้ดำเนินไปด้วยกันอย่างมีพลังและความสุข” . . เป็น Comment ที่ดีมากเลยครับ ทำให้อยากอ่านบันทึกของพี่บ้างแล้วซิ (รออ่านอยู่นะครับ)

เรียนอาจารย์ครับ...ที่ผ่านมาหลังจากเออรี่ฯเมื่อปี43 และเริ่มศึกษาเรียนรู้บนเส้นทางการทำงานสังคมชุมชนครอบครัว จนเกือบ10 ปีรู้เลยว่าตัวเองเปลี่ยนไปมาก (มากจริงๆ) คงยากมากที่จะอธิบายให้ใครทราบได้ตามความรู้สึก ที่แท้จริงของเรา แต่...อาจารย์ครับ หลังจากได้ศึกษา โมเดลปลาทูของอาจารย์แล้ว(ซึ่ง...ต้องขอบอกว่าจ๊ายและเจ๋งจริงๆ) ถึงได้รู้ว่าเราโดยส่วนตัวแล้วเราแทบไม่ได้ทำส่วนหางปลาเลย ตอนนี้กำลังเริ่มคิดจะทำครับ อาจช้าหน่อยโดยเฉพาะการทำบันทึก/blog เพราะอ่อนในเรื่อง IT หน่อยครับ กำลังเริ่มเข้ามาใน gotoknow เมื่อวานนี้เองเพื่อหัดทำบันทึกแบ่งปัน ทั้งที่ติดตามงานของอาจารย์และคุณหมอวิจารณ์ใน webนี้มาเกือบ 2 ปีแล้วครับ รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่ อาจารย์กรุณาแลกเปลี่ยน ผมจะพยายาม ...(อย่างมีความสุข)... เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนฝันที่ยิ่งใหญ่ของอาจารย์และของเราครับ เมื่อ พ.ค.ที่ผ่านมาผมก็ได้ไปร่วมเรียนรู้กับพี่น้องชาวสาธารณสุขจ.ตราดมาครับ ชื่นชมในพลังและความงดงามของพี่น้องที่นั่นเป็นอย่างยิ่งครับ

เรียนอาจารย์..อันดับ10 ของผมเองครับ(อิอิอิ..มือใหม่หัดขับลูกศิษย์อาจารย์ครับ)

อย่าเพิ่งไปวุ่นวายกับชาวบ้านเลยครับ ปล่อยให้เขาอยู่ของเขา Leave them alone เถอะครับ ! 

โดนเต็มๆเลยครับอาจารย์ 

ผมเห็นด้วยครับ ถ้าเราอยากเห็นประเทศไทยได้รับการปฏิรูป ต้องหา Target Group ให้เจอครับ

หากตั้งใจจริง(มิใช่แค่วาทะกรรม)เอาที่ ครูกับเด็กก่อนไหมครับลงมือทำเลย เอาง่ายๆก่อน  ฝึกซ้อมการปฏิรูปก่อน แล้วค่อยไต่ไปที่บรรดานักการเมืองและข้าราชการ ตามที่อาจารย์เสนอ

เห็นท่าจะยากครับอาจารย์ หากอยากเห็นนักการเมืองและข้าราชการปฏิรูป (ความคิดและพฤติกรรมตนเอง) ที่ผ่านมาข้าของแผ่นดิน โดยนักการเมืองใช้อำนาจบีบจนต้องยอมเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพของตนเองครับ ... ดูง่าย ๆ กับคำว่า "ข้าราชการ" ที่พวกเรามีความภาคภูมิใจกันมากตั้งแต่สมัย ร.5 นักการเมืองเปลี่ยนเป็น "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" เสียอย่างนั้นแหละ ... ผมไม่เห็นมีข้าราชการคนใดแสดงถึงความไม่เห็นด้วยเลย ... แล้วจะไปหา (ความคิดและพฤติกรรม) อย่างเป็นรูปธรรมในการปฏิรูปตนเอง องค์กรและประเทศชาติได้อย่างไร.

หนูว่าน่าจะพัฒนาไปพร้อมกันนะคะ เพราะแน่นอนว่าถ้าพัฒนาแต่ข้าราชการ นักการเมือง ซึ่งคนเหล่านี้เพียงเพียงไม่กี่ส่วนในประเทศ

(แต่แน่นอนว่าถ้าเขาเหล่านั้นเข้าใจถึงบทบาทตัวเองว่ารับใช้ปวงประชามิใช่นาย การปฏิบัติหน้าที่ก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น)แต่แล้วถ้าไม่ไปยุ่งกับชาวบ้านเลยการพัฒนาก็อาจจะเป็นไปได้ไม่สมบูรณ์นัก....(เพราะชาวบ้านก็ควรรู้บทบาทตัวเองเหมือนกันว่า เขาเหล่านั้นก็เป็นข้ารับใช้แผ่นดินเกิดผืนนี้เหมือนกัน)

มุมมองเรื่องราวของการปฎิรูปเมืองไทยเรา

ลองเข้าไปอ่านที่นี่ดูสิคะ

http://www.thailandforum2010.com/magazine/magazine_5/index.html#/0

พื้นฐานของการปกครอง ( แบบประชาธิปไตย ) แบ่งผู้ปฏิบัติหน้าที่ออกเป็น 3 ส่วน

1. บุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในส่วนของราษฎร (ขอตั้งชื่อว่า ข้าราษฎร) มีหน้าที่รับใช้ประชาชนและสังคมในด้านอันเป็นประโยชน์ส่วนบุคคล เช่น รถยนต์ , บ้าน , เสื้อผ้า , อาหาร , เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ได้รับค่าจ้างผลตอบแทนจากทรัพย์สินของส่วนบุคคล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ปฏิบัติหน้าที่ จึงมีความจำเป็นต้องมีกลุ่มบุคคล

เช่น ผู้นำกลุ่มของแต่ละอาชีพ สมาคมของแต่ละอาชีพ สหภาพของแต่ละอาชีพ หรือ สมัชชาของแต่ละอาชีพ เป็นต้น

เพื่อกำกับ ตรวจสอบ ดูแล ช่วยเหลือ สงเคราะห์ ประสานงาน เป็นที่ปรึกษา อบรม พัฒนา แก้ไข ปรับปรุง ทั้งทางด้านอาชีพ และทางด้านชีวิต (ร่างกายและจิตใจ) และอื่นๆ มีการคัดเลือกผู้มีความรู้มีความสามารถระดับสูง จัดตั้งเป็นคณะผู้บริหารและจัดการ ในหน่วยงานของราษฎร ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัดหรือภูมิภาค ตลอดจนถึงระดับประเทศ

2. บุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในส่วนราชการ ก็คือ ข้าราชการ มีหน้าที่รับใช้ประชาชน และสังคมในด้านอันเป็นประโยชน์ส่วนรวม เช่น ถนน , แม่น้ำ , ป่าไม้ , การศึกษา , รักษาโรค เป็นต้น ได้รับค่าจ้างผลตอบแทนจากทรัพย์สินของส่วนรวม มีการคัดเลือกผู้มีความรู้ มีความสามารถชั้นสูง จัดตั้งเป็นคณะผู้บริหารและจัดการ ในหน่วยงานของราชการ ซึ่งในปัจจุบันมีพร้อมอยู่แล้ว ทั้งในระดับท้องถิ่น , ระดับจังหวัดหรือภูมิภาค ตลอดจนระดับประเทศ

3. บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นผู้แทน ก็คือ ผู้แทนประชาชน มีหน้าที่รับใช้ประชาชนและสังคมในด้านการเป็นผู้แทน โดยมีหน้าที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ , รับปัญหาความทุกข์ยาก , ความเดือดร้อนต่างๆ นำเข้าสู่ที่ประชุมของสมาชิกผู้แทนประชาชนเพื่อสร้างนโยบาย แล้วนำนโยบายไปมอบให้กับคณะผู้บริหารและจัดการในหน่วยงานของข้าราษฎรหรือข้าราชการ เพื่อแปลงนโยบายให้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อให้ข้าราษฎรหรือข้าราชการนำไปปฏิบัติให้เกิดผล การทำหน้าที่ของผู้แทนเสมือนเป็นตัวแทน โดยผู้ที่ได้รับปัญหาได้รับความเดือดร้อนไม่ต้องไปดำเนินการเองจะได้ไม่เสียเวลาในการทำมาหากิน รวมทั้งคอยติดตามตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการแก้ปัญหาทั้งในส่วนของราษฎรและในส่วนราชการให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผู้แทนจะได้รับค่าจ้างผลตอบแทนจากทรัพย์สินของส่วนรวม มีการคัดเลือกบุคคลผู้มีความรู้ มีความสามารถด้วยวิธีเลือกตั้ง จัดตั้งเป็นคณะผู้แทนประชาชนทั้งใน ระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัดหรือภูมิภาค ตลอดจนระดับประเทศ

ตั้งแต่ดิฉันเป็นเด็กจนถึงปัจจุบันนี้ ( อายุเข้าเลข 5 )ดิฉันก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ของระบบข้าราชการ และระบบการศึกษาของไทย อาการผักชีโรยหน้า ปิดบังข้อเท็จจริงจนมองไม่เห็นความเป็นจริง คำว่าปฏิรูปพูดเอาเท่ห์ ดูสวยหรู  ผู้ใหญ่หรือนักวิชาการ ทำมาดขรึม  พูดศัพท์วิชาการให้คนฟังงงเข้าไว้  บางครั้งก็ถกเถียง ไม่ยอมฟังคนอื่นที่ความรู้และตำแหน่งน้อยกว่า  ข้าราชการก็ยังคงทำตัวเป็นนาย มากกว่าข้า เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงอยู่ช่วงหนึ่ง ( พ.ศ. 2545 - 2548)แต่ปัจจุบันก็กลับมาเหมือนเดิม อย่างที่ท่านอาจารย์บอกไม่ต้องไปทำอะไรให้ยุ่งยาก มากพิธีการ แต่ขาดเนื้อหา ลงท้ายก็ประสบผลล้มเหลวเพราะ เต็มไปด้วยกระพี้ของการสร้างภาพแต่ขาดความรับผิดชอบผลก็คือ สภาพมักง่าย เกียจคร้าน รักสบาย เหมือนเดิม  

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท