คำตอบอาจจะเป็นดังนี้
๑. ถ้าเป็นคนทั่วไปจะตอบว่า ถ้าเราเห็นโต๊ะตัวนั้น ๆ ก็ต้องมีอยู่จริงนะซี ! ถ้าเราไปเตะมัน เราก็จะรู้สึกเจ็บเท้าแน่ ๆ แล้วเราจะว่ามันไม่มีอยู่จริงตรงนั้นได้อย่างไร?
๒. ถ้าถามนักฟิสิกส์ เขาก็คงตอบว่า ไม่มี ไม่มีอะไรเลยนอกจากอะตอม ซึ่งเรามองไม่เห็น และตัวเราก็ไม่มีใครมองเห็นอีกด้วยครับ แล้วใครจะไปมองเห็นใครเล่า? ก็ไม่มีอะไรเลยซีครับ นอกจากอะตอม! มันมหัศจรรย์จริง ๆ
๓. ถ้าเป็นนักปรัชญา ก็คงมีคำตอบดังนี้
ถ้าให้ A เป็นโต๊ะตัวนั้น และ B เป็นภาพโต๊ะตัวนั้นที่เกิดในความคิดของเรา ภายในกะโหลกศีรษะของเราเอง หรือภายในห้องมืด เรียกสั้นๆว่า ภาพในจิตของเราที่ขณะนั้นจัดอยู่ในระดับ การรับรู้(Perception) แล้วคำตอบจะเป็นดังนี้
๓.๑ นายแดงจะตอบว่า ไม่มี A โดยให้เหตุผลว่า
ถ้า A แล้วละก้อ B
แต่ B อยู่ในห้องมืด จิตในห้องมืดไม่เคยเห็น A จริงๆเลย แล้วจะว่ามี A อยู่จริงภายนอกโน่นได้อย่างไร? ไม่มีโต๊ะตัวนั้น มีแต่ B เท่านั้นที่มีอยู่จริง
๓.๒ นายดำจะตอบว่า มี A อยู่จริง โดยให้เหตุผลว่า
ถ้า A เป็นสาเหตุของ B
ดังนั้น จะต้องมี A ที่ทำให้เกิด B ถ้าไม่มี A แล้วจะเกิด B ได้อย่างไร? ดังนั้น จะต้องมี A อยู่จริงภายนอกโน่น เพื่อที่จะทำให้เกิด B ขึ้นในหัวของเรา
ถ้าเช่นนั้น เราผู้เป็นนักวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์ จะเป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ หรือวิทยาศาสตร์สังคม ก็ตาม จะต้องเห็นด้วยกับคนในข้อ ๑, และ ๓.๒
นอกจากนี้ เรายังได้เสริมสร้างความเป็น วัตถุวิสัย (Objectivity) ของ A ให้เพิ่มขึ้น โดยการหาพยานให้มากๆ คือ ให้มี Subjects - Ss ให้มากๆ หรือให้ n .ใหญ่ๆเข้าไว้ ตามวิชาสถิตินั่นแหละ เพราะว่า การที่มีคนเห็น A กันหลายๆคน แสดงว่า A มีจริงไงละครับ. และเราเรียกความเป็นวัตถุวิสัยนี้ว่า ปรนัย.
เยี่ยม..!! หนูชอบบทความนี้คะ และเห็นตามจริงอย่างที่กล่าวทุกประการ...