วันที่ ๒๙ มิ.ย. ๕๓ ผมต้องไปเป็นวิทยากร ในหลักสูตรธรรมาภิบาลเพื่อพัฒนาอุดมศึกษา ที่เน้นไม่บรรยาย แต่เน้นกระตุ้นการ ลปรร. ของนายกสภา และกรรมการสภา จำนวน ๓๒ คน ซึ่งแต่ละท่านมีประสบการณ์เพียบ บางท่านเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีและประธานรัฐสภา หลายท่านเคยเป็นรัฐมนตรีหรือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ผมเองไม่ค่อยแม่นรายละเอียด จึงหาแผนอุดมศึกษาระยะยาว ฉบับที่ ๒ พศ ๒๕๕๑ - ๒๕๖๕ มาอ่าน โดยค้นจากอินเทอร์เน็ต แล้ว download เข้าไปเก็บไว้ใน iPad อ่านสดวกดี
เมื่อเปิดอ่านผ่านๆ ก็ปิ้งแว้บว่า สภามหาวิทยาลัยไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะดูแลสถาบันของตนเท่านั้น แต่ต้องช่วยกันดูแลอุดมศึกษาในภาพรวมด้วย ในลักษณะที่มีสัดส่วน ๘๐ : ๒๐ ซึ่งเมื่อเอาแนวคิดนี้ไปเสนอต่อที่ประชุม ก็มีผู้บอกว่าเห็นด้วย ว่าสภามหาวิทยาลัยต้องไม่เพียงดูแลมหาวิทยาลัยของตนเท่านั้น ต้องมีส่วนร่วมกันสร้างวิวัฒนาการของระบบอุดมศึกษาของชาติด้วย
การช่วยกันสร้างวิวัฒนาการของระบบอุดมศึกษาไทยเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยิ่ง ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่หลากหลาย เอกสารแผนอุดมศึกษาระยะยาว แผนที่ ๒ ระบุว่าต้องคำนึงถึงปัจจัย ๑๑ ประการคือ
• รอยต่อการศึกษาระดับอื่น
• การแก้ปัญหาอุดมศึกษา- การจัดกลุ่มอุดมศึกษา
• ธรรมาภิบาลและการบริหาร
• การพัฒนาขีดความสามารถเพื่อการแข่งขัน – ระบบวิจัยและนวัตกรรม
• การเงินอุดมศึกษา
• ระบบการพัฒนาบุคคลากร
• เครือข่ายอุดมศึกษา
• เขตพัฒนาเฉพาะภาคใต้
• การพัฒนานักศึกษาแบบบูรณาการ
• โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้
• คุณภาพและมาตรฐานการศึกษา
สำหรับเรื่องเขตพัฒนาเฉพาะภาคใต้นั้น เป็นเรื่องลดความขัดแย้งในสังคม ซึ่งตอนยกร่างแผนอุดมศึกษาระยะยาวในปี ๒๕๕๐ เราเห็นเฉพาะความขัดแย้งใน ๓ จังหวัดภาคใต้ แต่บัดนี้ต้องมองไปทั่วทั้งประเทศ ๗๖ จังหวัดแล้ว
วิจารณ์ พานิช
๒๙ มิ.ย. ๕๓
จากการที่อยู่ในมหาวิทยาลัยมามากกว่า 40 ปี ผมมีความรู้สึกว่า เรายังไม่รู้ว่าเขาบริหารมหาวิทยาลัยกันอย่างไร
โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยของรัฐ เราได้ใช้ระบบราชการเข้ามาจับ หลายคนที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศก็ไม่รู้ว่าเขาบริหาร
ทำงานกันอย่างไร เพราะก้มหน้าก้มตาเรียนเพื่อให้จบ แล้วมาสอน และมาเป็นผู้บริหารตามความสารถของแต่ละคน
ไม้มีการอบรมกันอย่างถูกวิธี ตัวอย่างง่ายๆ การคัดเลือกนักศึกษาเข้าระดับปริญญาตรีก็ยังวุ่นวาย เรามีการสอบรวม
ตั้งแต่ปี 2504 ระบบมันควรจะดีกว่าปัจจุบัน