4. ไตรสิกขา (The Three Fold Training)
ความหมายของศัพท์
คำว่า ไตรสิกขา ประกอบด้วย ไตร แปลว่า 3 และ สิกขา แปลว่า ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักในการศึกษา หรือ
การศึกษา 3 อย่าง
ความหมายของคำว่า “การศึกษา” ในที่ทั่วไปหมายถึง การเรียนรู้ การหาประสบการณ์แห่งชีวิตและการพัฒนา
ตนเองในด้านต่าง ๆ คือ ทางกาย ทางสมอง ทางอารมณ์และสังคมแต่ความหมายของคำว่าการศึกษาในไตรสิกขานี้
ลึกลงไปอีกคือ หมายถึง การศึกษาเพื่อขจัดกิเลสให้ออกจากตน พยายามกำจัดอวิชชา ตัณหา และอุปาทานให้
ออกไป เพื่อผลแห่งการตรัสรู้
กล่าวโดยสรุป สิกขา 3 หรือ ไตรสิกขา คือ การฝึกหัดอบรม กาย วาจา ใจ และปัญญาให้ยิ่งขึ้นไป จนบรรลุ
จุดมุ่งหมายสูงสุดคือพระนิพพาน หัวข้อแห่งสิกขา 3 ได้แก่
1. อธิสีลสิกขา
สิกขาคือศีลอันยิ่งหรือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง ได้แก่
ข้อปฏิบัติหรือศีลที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เพื่อสาวกหรือศาสนิกชนได้ยึดถือปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ตาม
สมควรแก่เอกัตภาพของแต่ละอย่าง โดยจัดประเภทตามความพยายามมากน้อยและหยาบละเอียดดังนี้
1. ศีล 5 เป็นศีลสำหรับชาวบ้านผู้อยู่ครองเรือนทั่ว ๆ ไป ที่เรียกว่าคฤหัสถ์ ศีล 5 นี้บางทีเรียกว่า “นิจศีล”
คือศีลที่รักษาไว้เป็นประจำ
2. ศีล 8 เป็นศีลสำหรับคฤหัสถ์หรือฆราวาสผู้ตั้งใจปฏิบัติให้สูงขึ้นจากศีล 5 โดยปกติจะถือปฏิบัติกันเป็น
ครั้งคราวในวันขึ้น- แรม 8 ค่ำ และขึ้นแรม 14 –15 ค่ำ เดือนละ 4 ครั้งผู้ปฏิบัติพำนักอยู่ที่วัดหรือที่บ้านก็ได้ เรียกอีก
อย่างหนึ่งว่า “ศีลอุโบสถ”
สำหรับผู้ปฏิบัติรักษาศีล 8 เป็นประจำ มักจะแต่งกายนุ่งขาวห่มขาว และโกนผม ถ้าผู้ชายเรียก ตาปะขาว หรือพ่อ
ขาว ส่วนผู้หญิงเรียกนางชีหรือแม่ขาวก็เรียก
3. ศีล 10 เป็นศีลสำหรับสามเณรและสามเณรี คือผู้บวชอายุไม่ถึง 20 ปี หรืออายุถึงแล้วแต่ยังไม่ได้ขอบวช
เป็นพระหรือเป็นภิกษุณี (ปัจจุบันไม่มีสามเณรี )
4. ศีล 227 เป็นศีลสำหรับพระภิกษุ ถือเป็นข้อปฏิบัติที่ละเอียดลงไป อันที่จริงแล้วศีล 227 นี้ก็คือ ศีล 5 ศีล
8 และศีล 10 นี้เอง เพียงแต่เป็นข้อปฏิบัติที่แยกย่อยละเอียดลงไปอีก ผู้ถือปฏิบัติต้องสำรวมระวังมิให้เกิดการละเมิด
หากเกิดการละเมิดเรียกว่า ต้องอาบัติ คือต้องโทษ ซึ่งถือเป็นโทษทางใจผู้ละเมิดย่อมรู้เองเห็นเอง และอาบัตินั้นได้
ทรงบัญญัติไว้เป็นกลุ่ม ๆ ตามความหนักเบา
5. ศีล 311 เป็นศีลสำหรับภิกษุณี แม้ในปัจจุบันภิกษุณีจะมิได้มีแล้วก็ตาม แต่พระบัญญัติที่เป็นสิกขาบทก็
ยังคงมีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีศีลหรือสิกขาบทที่วางกำหนดไว้สำหรับภิกษุณี แต่เมื่อไม่มีภิกษุณีก็ย่อมถือว่า
หมดสิ้นไปโดยปริยาย
2. อธิจิตตสิกขา หรือ สมาธิสิกขา
สิกขาคือจิตอันยิ่งได้แก่ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณคือสัมมาสมาธิอย่างสูงคือการกำหนด
จิตให้แน่วแน่มั่นคงอันเป็นหลักแห่งการควบคุมจิต
มิให้ฟุ้งซ่านและควบคุมตนมิให้ตกไปในทางแห่งความเสื่อมเสียนั่นคือการกำหนดของตนให้อยู่จุดใดจุดหนึ่ง
โดยเฉพาะ เช่น ลมหายใจ เรียกว่า อานาปานสติสมาธิ หรือกำหนดจิตในขณะที่ย่างเท้าเรียกว่าเดินจงกรมหรือกายค
ตาสติ
สมาธิแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่
1. ขณิกสมาธิ จิตตั้งมั่นชั่วขณะ คือภาวะที่จิตมั่นคงได้ชั่วขณะ
2. อุปจารสมาธิ จิตตั้งมั่นจวนจะแน่วแน่ คือภาวะจิตที่สงบสูงขึ้นบางทีเรียกว่า สมาธิเฉียด
3. อัปปนาสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นแน่วแน่ คือภาวะที่จิตสงบอย่างมั่นคง กล่าวคือ เมื่อจิตสงบถึงขั้นอัปปนา
สมาธินี้แล้วก็จะเข้าสู่ฌานตั้งแต่รูปฌานต่อไปถึงอรูปฌาน เมื่อจิตเกิดเป็นสมาธิก็จะได้รับอานิสงส์ดังนี้
1. ทิฏฐธัมมิกสุข คือความสุขทันตาเห็นในปัจจุบัน
2. เกิดอภิญญาขึ้น เช่น หูทิพย์ตาทิพย์ เป็นต้น
3. สติสัมปชัญญะสมบูรณ์
4. สิ้นอาสวะ คือตัดกิเลสได้
3. อธิปัญญาสิกขา
สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง ได้แก่ ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง
คำว่า ปัญญา ตามรูปศัพท์แปลว่า ความรู้ทั่วหรือความรู้แจ้งสภาพต่าง ๆ ตามความ เป็นจริง ปัญญาสิกขาก็
คือการกระทำให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น ปัญญาจำแนกตามแหล่งเกิดมี 3 อย่างคือ
1. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง ได้แก่ ความรู้เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน การได้ยินได้ฟังและ
ประสบการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัส
2. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิด ได้แก่ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการไตร่ตรองพิจารณา วิเคราะห์วิจัย
และเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นความรู้ที่ละเอียดกว่าความรู้ระดับประสาทสัมผัส
3. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการอบรมจิต ได้แก่ ความรู้ที่เกิดจากการ ภาวนาหรือการฝึกจิตให้เกิด
ความสงบแล้วใช้จิตที่สงบแล้วนั้นพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ก็จะเกิดการหยั่งรู้ภายในจิต ความรู้ที่เป็นภาวนามยปัญญานี้
จัดว่าเป็นความรู้อันสูงสุด อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขานี้เรียกย่อ ๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
ทั้งศีล สมาธิ และปัญญาต่างก็อาศัยซึ่งกันและกัน กล่าวคือ ศีลเป็นเบื้องต้นให้เกิด สมาธิ และสมาธิเป็นฐานให้
เกิดปัญญา และในขณะเดียวกันสมาธิก็ช่วยควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ ไปด้วย เช่นเดียวกับปัญญาก็ช่วย
ควบคุมศีลและสมาธิไปในตัวด้วยเหมือนกัน
ไม่มีความเห็น