OM ในระบบสุขภาพปฐมภูมิ 1: ไสยศาสตร์ในสังคมปัจจุบัน


ไสยศาสตร์ในสังคมปัจจุบัน

อาทิตย์ที่แล้วผมไปเชียงใหม่ (ซึ่งอีกไม่นานก็จะไปอีก ดังนั้นพูดอย่างนี้ก็อาจจะไม่ช่วยให้เข้าใจอะไรมากขึ้นนักเวลากลับมาอ่านอีกครั้ง แต่ก็เขียนไปแล้ว ไม่อยากลบ) ไปช่วยหมอวรวุฒิ ผอ.รพ.สันทรายทำ workshop outcome mapping ให้กับ คปสอ.อำเภอสันทราย (ไม่ทราบว่าย่อมาจากอะไร แต่เกี่ยวกับสุขภาพชุมชนในระดับปฐมภูมิ) ก็มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นมากมายตามปกติ เหมือนทุกครั้งที่เราทำอะไรกับมนุษย์ กับชีวิต

หมายเหตุ: ที่จริงผมเคยเข้า workshop outcome mapping ครั้งเดียว จัดโดย สคส. (ทีมอาจารย์ประพนธ์ ผาสุขยืด) หลังจากนั้นเอามาลองใช้ (อย่างมะงุมมะงาหรา) กับหน่วย palliative care ชีวันตาภิบาล ที่ ม.อ. แต่ทำไมกลายเป็นวิทยากร กระบวนกร outcome mapping ไปได้ก็ไม่ทราบ แต่ที่รับไปทำ ก็เพราะว่าคิดว่าตัวเองจะได้ประโยชน์และเข้าใจ OM มากขึ้นได้โดยวิธีเดียว คือ ลองใช้มันเยอะๆ ในหลายๆบริบท หลังจากเขียนบันทึกไว้ทั้งหมด 22 บทจาก workshop ในครั้งนั้น

พวกเราๆในวงการบริการสุขภาพ (หมอ พยาบาล อสม. ฯลฯ) จะเจอะเจอผู้คนมากมาย ยิ่งตอนนี้มีกระแส "คุณภาพ" คืบคลานเข้ามาซึมลึกมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะยิ่งเกิดความท้าทายในการบูรณาการเอาศาสตร์ใหม่ คำใหม่ มาช่วยเสริมบ้่าง อธิบายบ้าง ต่อยอดบ้าง กับสิ่งที่เราทำ หรือสิ่งที่เราอยากให้เกิด ครั้งนี้ issue คือการนำเอา outcome mapping (OM) มาใช้ในการเขียน Strategy rootmap แผนที่การทำงานในระดับปฐมภูมิ ซึ่งกำลังจะกลายเป็น agenda ที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่นโยบาสาธารณะจะพึงมีได้ทีเดียว

พวกเราทำวง dialogue มากขึ้นๆ ในช่วงผ่อนคลาย ก็จะได้ยิน comments ที่หลุดออกมาจากจิตใต้สำนึกบ้าง หลุดจากความกลัวบ้าง หลุดจากความละอายบ้าง เราก็เริ่มได้ยินเสียงตนเองมากขึ้น รู้สึกและรู้จัก deepest fear ของตนเอง เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเติบโตและเรียนรู้

มีคำหนึ่งที่ได้ยินมา ระหว่างการพูดคุย คือ "ไสยศาสตร์"

ไสยศาสตร์อยู่คู่กับคนไทยมานานเท่านาน นิทานพื้นบ้านมากมายหลายเรื่องของไทยมีไสยศาสตร์ พุทธแบบไทยๆ เราก็ดัดแปลงรับเอาพิธีพราหมณ์ พิธีไสย มาเกี่ยวข้องปนไปปนมา เป็นแบบอย่างของหม้อหลอมรวมวัฒนธรรมประเพณีความเชื่อเข้าด้วยกัน ในยุคปัจจุบันวิทยาศาสตร์กำลังถูกโหมกระพือเข้าตีพื้นที่ที่เดิมไสยศาสตร์ยึดครองอยู่มากขึ้นๆเรื่อยๆ ไม่เพียงเฉพาะพื้นที่ไสยศาสตร์นะที่ถูกตี แต่อาจจะหมายถึงพื้นที่ soft science อื่นๆ อาทิ ศาสนา ความเชื่อ ประเพณีไปด้วย วิทยาศาสตร์การแพทย์จะเป็นหัวข้อที่เป็นหัวหอกเจาะทะลวง นั่นเป็นเพราะไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีอะไรก็ตาม ถ้่านำมาใช้กับการแพทย์ได้ ก็จะเป็น first priority เสมอ เพราะมันเกี่ยวกับการมีชีวิตยืนยาว ใครๆก็อยากได้ พื้นที่ตรงนี้ที่เดิมไสยศาสตร์ความเชื่อเคยยึดครอง จึงกลายเป็น battle field แนวหน้าที่โดนกระทบมากที่สุดก่อนเพื่อน

ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะถอยร่นอย่างไม่ได้สู้หรอกนะ

ทุกวันนี้ ถ้าเราถามคนไข้ดีๆ ในพื้นที่ปลอดภัย เราก็จะได้ยินเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฤกษ์ยาม (จนเป็นที่น่าสงสัยว่า ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีเยอะมากในอนาคต เพราะเขาผ่าตัดซีซาเรียน ตามฤกษ์ผู้นำกันเต็มไปหมด) ฤกษ์เกิด ฤกษ์ผ่าตัด ฤกษ์ออกจากโรงพยาบาล ไปจนถึงตอนจะตาย ก็มีเอาตัวเลขเวลาที่จากไป เอาไปแทงหวย ซื้อลอตเตอรีกันก็มี

พวกวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็มักจะเกิดอาการ มองกลุ่มนี้ว่าล้าหลัง ดูสินี่ การแพทย์เจริญไปถึงขนาดนาโนเทคโนโลยี ชาวบ้านเราก็ยังลุ่มหลงงมงายกับไสยศาสตร์ ปิศาจ อะไรกันอยู่ ไม่ได้ติดตามทันยุค ตาม evidence-based ล่าสุดแบบเราเลย ฮึ ฮึ ฮึ (หัวเราะในคออย่างภาคภูมิใจในความ "เหนือกว่า")

ทว่า เราคิดเช่นนั้นแล้ว เราเองรึเปล่าที่อาจจะต้องย้อนมองตนเองให้ดี?

ว่าเราเองนั้นอิสระจากความเชื่อ งมงาย ไม่มีผลต่อพฤติกรรมของเราจริงๆ?

แน่ใจหรือว่า เรานี้เชื่อทุกอย่างตามหลักวิทยาศาสตร์หมด พฤติกรรมของเรานั้นอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งสิ้น เรามีความเป็น "วิทยาศาสตร์" สูงส่ง?

"เทวดา" คือพวกที่ไม่ต้องทำงานอะไรก็มีความสุขได้ อิ่มทิพย์ สุขทิพย์ เวทมนตราต่างๆก็คือการทำงานโดยการบ่นภาวนาแล้วก็สัมฤทธิผล ดูจากภาษิตเดิมๆของเราสิ มันอาจจะมีความหมายนัยแฝงที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ อาทิ "รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา" ก็จั่วมันเบา เสามันหนักนี่นะ แปลไม่ดีอาจจะเผอเรอไปแปลว่า ทำงานหนักน่ะหรือจะสู้ทำงานเบาๆ นี่ก็จะเริ่มลื่นไหลลงไปทางอวิชชาได้ง่ายๆ

ตอนเดินผ่านสนามบินสุวรรณภูมิผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ จะเห็นรูปปั้น "กวนเกษียรสมุทร" เห็นเทวดาจับหางพญานาค เห็นอสุระจับด้านหัวพญานาคที่ลำตัวพันภูเขาที่ใช้เป็นไม้กวนเกษียรสมุทร พวกยักษ์พวกอสูรก็โดนพิษพญานาคที่เจ็บปวดรมกันเต็มๆ เพราะเทวดาเจ้าเล่ห์ได้ "กำไร" เนื่องจากฉลาดกว่า

ยักษ์โดนเต็มๆ

ฝั่งเทวดาน่ะ บายๆ

แถมพอน้ำอมฤติลอยขึ้นมา เทวดาก็แอบยัก กินกันก่อน เลยได้่เป็นอมตะกันแถวๆ ราหูอสูรเห็นเข้าก็โกรธ แอบเข้ามากินบ้าง กินไปนิดเดียวก็โดนจักรพระนารายณ์ตัดไปครึ่งตัว แต่ก็ไม่ตาย เพราะเป็นอมตะไปแล้ว เอาหางงูมาต่อเป็นพระราหู เข้าโจมตีพระจันทร์ พระอาทิตย์ ที่ไปฟ้องพระนารายณ์จวบจนทุกวันนี้

แล้วเราจะโทษยักษ์ โทษอสุรไหมเนี่ย ที่ไม่ถูกกับเทวดาขี้โกง?

คนที่อยากเป็นเทวดา ก็รับเอา concept นี้เข้ามา คือ ไม่ต้องทำงานหนัก ขอหามจั่ว แต่อิ่มทิพย์ สุขทิพย์ ได้กำไรง่ายๆ สบายๆ แถมเรายังทำได้เพราะฉลาดกว่า คนที่โง่กว่าก็ทำงานหนักไป ได้กำไรน้อยๆไป นี่คือ "เวทมนต์" ในรูปแบบที่ authentic ที่สุด

ที่นี้เราอาจจะมองชาวบ้าน ชาวช่อง ที่ถือตะกรุด สักยันตร์ ฯลฯ ว่างมงาย ไสยศาสตร์ เอาวัตถุมงคลอะไรมาแช่น้ำดื่ม อะไรจะมาสู้ยาพาราเซต ยาเคมีของเราได้ ของเรานี้วิทยาศาสตร์นะ

ก็อาจจะไม่จริงเสมอไป

เพราะเราเองก็อาจจะกำลังถือตะกรุด แขวนปลัดขิก แต่ในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้นะ

ใครที่ซื้อ brand name product ต่างๆที่ถือแล้วรู้สึกว่า self ดีขึ้น ฐานะตัวเองดีขึ้น ใครๆน่าจะชื่นชม นี่แหละก็คือ "เครื่องลางของขลัง" ที่เรางมงายเชื่อถืออยู่ไม่ต่างกันเลย เพียงแต่เราไม่ได้ "ร่ายเวทย์" ตอนใช้เท่านั้น แต่ความเชื่อ ศรัทธา ที่เรามีต่อ "วัตถุ" เหล่านี้ ไม่ได้มีที่มาที่แตกต่างจากตะกรุด ปลัดขิก อะไรนั้นเลย คือ เป็น "ความเชื่อ" เท่านั้น ถ้าจะมีร่ายเวทย์ ก็คงจะตอนที่เผื่อมีคนถามว่านี่ยี่ห้ออะไรนะ เราก็จะเสกไปทันที "หลุยใบตองค่ะ" "ใบนี้ขี่ลิง เอ๊ย คิปลิงค่ะ พ้วงๆๆ"

ตัวผมเองก็สาวก apple เหมือนกัน มีหมด ทั้ง macbook pro, iMac, iPhone, ไอปอด ไอแปด ไอกระปุ๊กลุกอะไรออกมา ก็คงจะอดไม่ได้ไล่ตามหา เหมือนของขลังเหมือนกัน

เมื่อเป็นซะอย่างงี้ ก็คงไม่ต้องไปดูถูก ดูแคลน ชาวบ้านที่นับไสยศาสตร์ เพราะเขาเอง เห็นเราถือกระเป๋าถือใบละเหยียบแสน ก็คงจะหัวเราะเยาะ อีนี่โง้ โง่ฉิบหาย ถือกระเป๋าราคาเท่ารถ เพื่อจะอวดรวย จะถือทีต้องกลับข้างที่มียี่ห้อให้หันออกข้างนอก มือต้องเสยผม จัดแว่นบ่อยๆ จะได้เห็นแหวน เห็นนาฬิกา

เพราะนี่ก็เป็นอีกไสยศาสตร์นึงเหมือนกัน

ในระบบคุณภาพในการทำงานกับผู้คน เราเองก็ต้องระมัดระวังไม่ใช้ "ไสยศาสตร์" แบบไม่รู้ตัวนี้ให้ดี

ทฤษฎีคุณภาพต่างๆนั้น บางขณะ เราถ้าไม่ได้มองเป็นเครื่องมือ เราอาจจะเผลอถือเป็น "เวทมนต์" ไปได้เหมือนกัน

งานบริการสุขภาพมีคุณค่าไม่ได้เป็นเพราะ "ผลลัพธ์" เท่านั้น แต่เป็นเพราะ "เราทำ" ด้วย มันมี relationship เกิดขึ้นขณะที่เราทำ แต่ตรงนี่แหละ ที่ work เหมือนกับ "เวทมนต์" เพราะเมื่อเราไปสนใจ ใส่ใจ ในทุกข์สุขของคน ความสุขในใจของทั้งสองฝ่ายก็เกิดขึ้นอย่างกับเสกมนต์เหมือนกัน

ตรงกันข้าม หากร่ายออกมาแล้ว คนที่กำลังสุขๆอยู่ เกิดความกดดัน เกิดความทุกข์ อันนี้จะกลายเป็นมนต์ดำ เป็นไสยดำ ที่ต้องการสาวก คนเชื่อเท่านั้นถึงจะหลุดรอดจากคำสาปครอบงำได้

ตัว "มนต์" เฉยๆ มันไม่ดำ แต่มันจะดำเพราะวิธีใช้่เท่านั้น

เพราะมนต์ที่ดี เอาไปใช้อย่างเป็นสิริมงคล เพื่อเสริมพลัง empower คนที่ทำดี กุศลนั้นมันจะเกิดขึ้นในสังคม ในชุมชนอย่างมากมายมหาศาล แต่ถ้าใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน ใช้เพื่อ vanity หรือ judge คน ก็จะกลายเป็นไปจำกัดศักยภาพ จินตนาการของคนไปอย่างน่าเสียดาย

เพราะฉะนั้น ไหนๆเราก็มีพระเวทแล้ว ทำ intention ให้ใสสะอาด เกิดจิตบริสุทธิ์ จิตเพื่อคนอื่น จิตเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อเพื่อนมนุษย์

เมื่อนั้น จะเป็นเทวดา เป็นอสุรา หรือไม่ ก็อยู่ในใจเราเอง

หมายเลขบันทึก: 371066เขียนเมื่อ 1 กรกฎาคม 2010 11:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 02:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

ใจเป็นนายกายเป็นบ่าวค่ะ สำคัญที่ใจ ถ้าใจมันเชื่อเสียอย่าง พลังก็จะเกิด เมือลงมืทำความสำเร็จก็เกิด การรักษาพยาบาลที่น่าจะมีประสิทธิภาพ คือรักษาที่ใจเสียก่อน ให้ใจมันมีความเชื่อมั่น ร่างกายก็เกิดพลังพร้อมรับมือ และต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บ

ฉันใดก็แํนนั้นจะทำการสิ่งใด ต้องให้ได้ใจเสียนก่อน จะทำการสิ่งใดก็สมประสงค์ ก็อย่างคุณหมอเป็นวิทยากร OM เพราะใจมันเชื่อ 

"ก็ เพราะว่าคิดว่าตัวเองจะได้ประโยชน์และเข้าใจ OM มากขึ้นได้โดยวิธีเดียว คือ ลองใช้มันเยอะๆ ในหลายๆบริบท...."


ขอบพระคุณครับ คุณหลินฮุ่ย (นามปากกา)

ในทาง palliative care หรือการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย บางทีเราก็จำเป็นต้องเริ่มที่กายก่อนเหมือนกัน คือ ให้ยาให้คนไข้หายปวดอย่างที่สุดไว้ก่อน ไม่งั้นไม่มีทางเข้าถึงจิตใจ จิตวิญญาณได้เหมือนกัน คงจะแล้วแต่บริบทนะครับ

วันนี้เป็นวันไหว้ครูของมหาวิทยาลัยครับ เลยถือโอกาสตระเวนแวะมาเยี่ยมคารวะหมู่มิตรและหิ้วของมาฝากครับท่านอาจารย์Phoenixครับ มีความสุขครับ

 มิติหนึ่งของคนทำงานและครูชีวิตสุขภาพในชุมชน ให้ความบันดาลใจดีครับ  คลิ้กหัวข้อเพื่ออ่านเนื้อหา ๑๒ ตอน

ตอนที่ ๑    ขับเคลื่อนเครือข่ายโรงเรียน อสม.               ตอนที่ ๒   จิตวิญญาณความเป็นครูโรงเรียน อสม.
ตอนที่ ๓    ความเป็นครูโรงเรียน อสม.                        ตอนที่ ๔   ร่วมกันสร้างกรอบตัวแบบค้นหาครูโรงเรียน อสม.
ตอนที่ ๕    มิติทักษะความเป็นครูของอสม                   ตอนที่ ๖   วิธีค้นหาครูขับเคลื่อนโรงเรียนอสม.ของชุมชน
ตอนที่ ๗    ฐานชีวิตของครูโรงเรียนอสม.                     ตอนที่ ๘   เงื่อนไขสังคมของครูโรงเรียนอสม.
ตอนที่ ๙    การพัฒนาการศึกษาเรียนรู้ครูโรงเรียนอสม.   ตอนที่ ๑๐ เครื่องมือ สื่อ เทคโนโลยี สิ่งสนับสนุนครูโรงเรียนอสม.
ตอนที่ ๑๑  การนำเสนอแผนการสอนและสาธิตกระบวนการเรียนรู้ของครูโรงเรียนอสม. 
ตอนที่ ๑๒  เพิ่มลูกเล่นและใส่ศิลปะเพื่อเรียนรู้การนำเสนอให้สร้างสรรค์

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

  คลิ๊กเพื่อเข้าไปดู  เครื่องมือและผลประเมินของเวทีโดยการโหวต   : ความเข้มแข็งและแนวโน้มความยั่งยืนของเครือข่ายครูโรงเรียนอสม. : มิติการพิจารณาความยั่งยืน ๓ องค์ประกอบ ๖ ตัวชี้วัด [Click here]

ขอบพระคุณครับ อาจารย์วิรัตน์ สงสัยต้องค่อยๆอ่าน ค่อยๆย่อยครับ หัวข้อน่าสนใจทุกอันเลย

  • ตามมาดู OM เลยได้เรื่องอื่นไปด้วย
  • ฮ่าๆๆๆๆ
  • ขอเป็นคนธรรมดา พเนจร ใช้ของธรรมดา ดีกว่า ดูจะมีควมสุขมากกว่า
  • มนต์ที่ดีต้องส่งเสริมให้คนไม่มีความสุขมีความสุข คนมีความสุขก็สุขยิ่งๆขึ้นไป
  • ว่าแล้วก็เอา OM จากแก่งคอยมาฝากครับ

http://gotoknow.org/blog/yahoo/301390

http://gotoknow.org/blog/yahoo/301686

http://gotoknow.org/blog/yahoo/302409

หึ หึ

อยากจะใช้ brand name ก็ได้ครับ ไม่ได้ว่าอะไร แต่ให้รู้ว่าเราเป็น "สาวก" ของอะไรอยู่พอๆกับคนอื่นๆที่เรามองเห็นเขางมงายไม่แพ้กันเท่านั้น sufficient ไม่ได้บังคับให้มี single standard

ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายว่า ไสยเวท, ไสยศาสตร์ [ไสยะเวด, ไสยะสาด] น. ตําราทางไสย, วิชาทางไสย. ไสย, ไสย– [ไส, ไสยะ–] น. ลัทธิอันเนื่องด้วยเวทมนตร์คาถาซึ่งเชื่อว่าได้มาจากพราหมณ์ เช่น ถูกคุณถูกไสย.

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ทำงานร่วมกับผม มีความเชื่อเรื่อง ดวง เวทมนตร์ คาถา ไม่น้อยกว่า ๒๐ เปอร์เซนต์(ที่เปิดเผยตัว)

หึ หึ

ขุนช้างขุนแผนก็เต็มไปด้วยไสย พระอภัยมณี สังข์ทอง ฯลฯ มันอยู่ในเลือดในเนื้อ ในขนบ ในประเพณี ก็ไม่มีอะไรต้องไปอับอายหรือขายหน้าอะไรเลยนะครับ

  • ใช้ของ JJ และตรา gotoknow ครับ
  • อันนี้ขลังครับ
  • ปลุกเสกจากบ้านเลย
  • น้อง buffalo ธนู
  • ฮ่าๆๆ
  • มาก่อกวนอาจารย์หมอ
  •  

ตามมาอ่าน OM แต่ได้มากกว่า OM

เพราะฉะนั้น ไหน ๆ เราก็มีพระเวทแล้ว ทำ intention ให้ใสสะอาด เกิดจิตบริสุทธิ์ จิตเพื่อคนอื่น จิตเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อเพื่อนมนุษย์ เมื่อนั้นจะเป็นเทวดา เป็นอสุรา หรือไม่ ก็อยู่ในใจเราเอง

ขอบคุณที่บันทึกเรื่องราวดี ๆ ไว้ให้อ่านค่ะ

  • คนทั่วไป เดี๋ยวนี้ มีความเชื่อใหม่ "เวลาคลอด ผ่าท้องคลอด ปลอดภัยกว่า คลอดเบ่ง"
  • ฟังครั้งแรกแล้วตาถลน ร้อง เอ้ย!
  • ไม่รู้ความเชื่อนี้ ระบาดกันตั้งแต่ตอนไหน
  • ยังสงสัยว่า ไม่รู้เกี่ยวกับเมื่อราวสิบกว่าปีก่อนโน้นหรือเปล่า ที่คนคลั่งไสยศาสตร์ ผ่าท้องเอาฤกษ์ ลูกจะได้มีบุญ นั่งกินนอนกิน ไปตลอดชีวิต แล้วเกิดกระแสตามแห่ไสยศาสตร์ จนคนยุคหลังคิดว่า ผ่าเพราะต้องการความปลอดภัย
  • จริง ๆ แล้ว เขาไม่รู้หรอก ว่านั่งกินนอนกิน ไปตลอดชีวิตน่ะ ไม่สนุกหรอก
  • จะถ่าย ต้องมีคนเปลี่ยนผ้าป้อม จะนอนต้องมีคนคอยพลิกตัว จะกิน ต้องมีคนคอยป้อน จะไปไหน ต้องมีคนคอยเข็น

ฮ่ะ ฮ่ะ อ.วิบุล พูดซะเห็นชัด (figurative speaking!!)

สงสัยมีดหมอจะไปถูกไขสันหลัง ก็เลยเป็นอัมพาตไปครึ่งตัวน่ะครับ ฤกษ์เขาแม่นจริงๆ

เยอรมันว่าเจริญๆ ยังต้องไปพึ่งปลาหมึกเล้ย ว่าบอลจะแพ้รึจะชนะ ใครว่า magic ไม่มีในโลก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท