ผ้าขนหนูเปื้อนสี


    ธนากฤช   ครุเจนธรรม ( แต่ง )
    ผมน่ะเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ตอนเด็กๆ ก็เหมือนเด็กทั่วไป เรียนประถมต้น แต่เท่าที่ผมจำได้ ก็คือภาพที่พ่อแม่ทะเลาะกัน และแม่ก็ต้องย้ายบ้านทุกที เวลาทะเลาะกัน แม่ก็จะหอบผมไปด้วย ผมรู้สึกว่าทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายกับแม่ผมเหลือเกิน  ทำไม่พ่อต้องทำกับแม่ผมอย่างนี้ด้วย  พอแม่ย้ายหนี พ่อก็ตามกลับมาและเป็นแบบนี้ทุกครั้งบ่อยมากผมจำไม่ได้  ที่สำคัญผมจำภาพที่แม่ชงโอวันตินใส่ไข่ให้ผม และยื่นให้ผมกินทุกเช้ามันเป็นสิ่งเดียวที่ผมจำได้ที่สุด และผมก็มีความสุขที่ได้อยู่กับแม่  แต่กับพ่อนั้นผมรู้สึกเฉยๆ เพราะพ่อไม่ค่อยดูแลพวกเราเลย พ่อออกนอกบ้านประจำ และกลับบ้านดึก บางทีก็ไม่กลับบ้าน ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงบ่อยครั้ง ตอนนั้นผมยังเล็กมาก ก็เคยไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งวันหนี่ง น้องชายประสบอุบัติเหตุเล่นเครื่องตัดเหล็กที่พ่อเปิดทิ้งไว้ แขนน้องชายเกือบหลุด น้องสาวแม่ก็อุ้มน้องชายผมไปและนั่งมอเตอร์ไซด์ไปก่อน ส่วนแม่ผมด้วยความเป็นห่วงก็นั่งตามหลังไป แต่เผอิญแม่ผมหมดสติเลยตกรถมอเตอร์ไซด์หัวกระแทกพื้นอย่างแรก เสียชีวิตนะครานั้น ชีวิตผมก็รู้สึกเหมือนว่าผมขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ผมคิดถึงแม่มากในใจผมคิดตลอด คิดถึงความรู้สึกดีๆ และไออุ่นที่ท่านได้มอบให้ ถึงท่านจะตายไปแล้วทุกครั้งที่ผมไว้พระผมก็คิดถึงท่านเสมอ  
    พอแม่ผมเสียชีวิต พ่อผมก็มีแม่เลี้ยงคนใหม่  ผมก็ถูกส่งไปให้ย่าเลี้ยง ส่วนพ่อก็เลี้ยงลูกของแม่เลี้ยง งงมั๊ยละครับ แทนที่จะเลี้ยงลูกตัวเองกลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยง ปล่อยให้ลูกตัวเองอยู่กั้บย่าอายุ 60  นี่ละชีวิตของผม ผมอยู่กับย่าจนกระทั่งผมจบ ป.6  ทุกเช้าผมต้องตื่นมาขายโจ๊กช่วงปิดเทอม ตั้งร้าน ติดเตาถ่าน ทำโจ๊ก และตักใส่ถุงเวลาคนมาซื้อ แต่ขายไปขายมา เจ้งครับ เพราะขาย 1 แถม 1 ให้เยอะ ไม่ได้กำไรย่าเลยให้เลิกขาย  บางทีก็ไปช่วยย่าขายขนมเปาะเปี้ย และพวกมันทอด เผือกทอด ให้คนที่โรงงาน โดยผมจะทำหน้าที่เข็นรถไปยังหน้าโรงงาน และรอให้คนงานออกมาซื้อกิน ถุงละ 5 – 10 บาทก็แล้วแต่ ผมต้องนั่งพับถุงกระดาษขาย 100 ละ 5 บาทมั้งผมจำไม่ได้ ผมต้องนั่งทำกาวโดยใช้แป้งมาละลายน้ำแล้วทำให้ร้อน แล้วจะกลายเป็นกาว บางครั้งก็ใช้ข้าวที่เรากินนี่ละมาเป็นกาวทำถุงกระดาษ ลูกของย่าบอกว่ารุ่นผมเนี่ยสบายกว่ารุ่นก่อนมากแค่นี้ยังน้อยไป เขาบอกว่าแต่ก่อนเขาต้องเดินเก็บถุงขยะพลาสติกเอามาล้างแล้วเอาไปขาย ผมฟังดูก็โอเคเข้าใจ แต่ผมก็ลำบากไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เงินที่ให้แต่ละวันก็ไม่พอ บางทีผมก็ขโมยเงินในกระเป๋าย่าไปซื้อขนม หรือเล่นเกมบ้าง เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่าเกมนั้นทำให้ผมมีความสุขมาก  ผมไม่มีความสุขเลยที่อยู่กับย่า  ผมหรือสึกถูกบีบบังคับให้ทำนู่นทำนี่  อยู่ตลอด ก่อนจะออกไปเล่นกับเพื่อนบ้านต้องทำงานแลก เช่น ขัดห้องน้ำ  ขัดพื้น  ปัดหยากไย่ หรือไม่ก็นวดให้ย่าก่อนถึงจะออกไปเล่นได้  และถ้าออกมาเล่นได้ก็ต้องเป็นเวลาด้วย เช่น 30 นาที หรือ 60 นาทีก็ต้องเข้าบ้านถ้าย่าไปตามเจอไม้ขนไก่ตีแน่นอน นี่คือชีวิตวัยประถมของผมช่างเป็นชีวิตที่มีรสชาติซะจริงๆ ขอขอบคุณพวกท่านๆ ที่ทำให้ผมรู้จักรสชาติของชีวิต
    พอเรียน ม.ต้นก็เรียนตามปกติที่ระยะทางจากที่บ้านไป ที่โรงเรียนระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร และตอนนั้นผมต้องเดินเพื่อไปขึ้นรถ ณ จุดที่ต้องขึ้นเพื่อประหยัดค่ารถนั้น ต้องเดินเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตรกว่าๆ เพราะไม่มีเงินมากพอจะขึ้นรถหลายต่อ แต่โชคดีที่เดินกลับกับเพื่อนที่อยู่ทางเดียวกัน ผมกลับมาบ้านผมต้องทำงานบ้านต่างๆ สำคัญ เช่นล้างจาน  ซักผ้า  ถูบ้าน อื่นๆ ตามที่เขาต้องการ ตอนนั้น
1 ปี ผมจะเจอหน้าพ่อประมาณ 2 ครั้ง ผมรู้สึกปวดใจมากเวลาที่เจอพ่อของผม ผมเหมือนเศษดินหรืออะไรซักอย่างที่พวกเขาไม่ต้องการผม หน้าตาผมไม่น่ารัก และนิสัยก็ไม่ดี ไม่ได้เป็นรุ่นพิมพ์นิยมที่ใครต้องการ  แต่หัวใจดวงน้อยๆ ของผมก็ถูกบี้ ด้วยการกระทำของผู้ใหญ่  ผมรู้สึกแย่มากๆ และผมก็ไม่เคยปริปาก หรือพูดออกมาได้ ไม่งั้นโดนไม้ขนไก่แน่ ตอนนั้นด้วยความคิดที่ยังเป็นเด็กผมไม่ได้คิดอะไรมาก ผมคิดอย่างเดียวจะเล่นแต่เกมเท่านั้นที่ทำให้ผมมีความสุข  มีช่วงหนึ่งที่ผมติดเกมขั้นหนักไม่ยอมไปโรงเรียนตอนผมอยู่ ม.3  มันเป็นเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดที่ได้อยู่กับเกม ทำให้ผมลืมทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง แต่หลังจากที่ผมเล่นเสร็จผมรู้สึกว่าผมมีความทุกข์มากกว่าเดิม ผมไม่มีเงินจะกินข้าว เพราะเอาเงินไปเล่นเกมหมด  ผมจึงหัดเป็นโจรน้อย ลักเล็กขโมยน้อย  งัดเงะ  เงินในโทรศัพท์หยอดเหรียญที่บ้านเพื่อเอาไปเล่นเกมก็มี ถูกจับได้ก็โดนตีไม่รู้กี่ที  โดนแต่ละทีก็เหมือนถูกพิพากษาลงทัณฑ์  ผิดไปซะทุกอย่าง ชีวิตนี้ไม่มีอะไรดีเลยหรือนี่ มีแต่เลว เลว และเลว งั้นหรือ
    ผมหนีออกจากบ้านหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งช่วง ม.3 ผมหนีออกไปทำงานโรงงาน และอาศัยอยู่กับเพื่อน ผมไม่เคยคิดที่จะขโมยของบ้านที่เราไปอาศัยอยู่ แต่โรงเท้ากีโต้เขาหาย ตอนนั้นเขาซื้อคู่ละ 500  บาท เขาหาว่าเราขโมยไป ผมก็งงสิครับ  ผมพูดอะไรไม่ออก ผมเลยต้องหาที่อยู่ใหม่  ตอนนั้นก็เหมือนเด็กเร่ร่อนไม่มีผิด  แต่ผมก็ไปอยู่กับเพื่อนที่โรงงานทำนามบัตร  ผมก็ไปทำงานได้วันละ 135 บาทประมาณนี้ละจำไม่ได้ ตอนนั้นผมคิดว่าอยากเรียนมาก อยู่อย่างงี้ไม่ไหวแน่ ผมต้องทำโอทีให้มากขึ้น ผมอยากมีอิสระ ผมไม่อยากให้ใครมาบังคับชีวิตผม  ตอนนั้นผมไม่สามารถพึ่งใครได้ ผมเลยคิดว่าผมต้องพึ่งญาติคนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนเก่าพ่อ ผมขอความช่วยเหลือที่หลับนอน
เพราะผมต้องทำงานกะดึกเพื่อหาเงินไปเรียน ผมไม่ต้องการให้ที่บ้านรู้ แต่สุดท้ายเขาก็โทรบอกที่บ้านที่นี้ก็แห่มากันตรึม และรับผมกลับไปเลี้ยงจนจบ ม.3  ผมถูกส่งตัวกลับมหาชัย โดยน้องชายพ่อเอาไปเลี้ยง ให้เงินมาเรียนวันละ 20  บาท กินข้าว 12 บาท เหลือซื้อน้ำและขนมเล็กน้อย มีรถเก๋งของน้องชายพ่อผมไปรับส่ง เสาร์-อาทิตย์ห้ามไปไหน ต้องขออนุญาติก่อน มีช่วงหนึ่งที่ ต้องมาช่วยทำงานบัญชีที่พระประแดง ผมต้องฝึกทำงานที่นี่ และเป็นคนทำความสะอาดที่นี่ด้วย พร้อมทั้งหน้าที่ยามเฝ้าที่นี่ด้วย เพราะเป็นสำนักงานบัญชี  อย่าให้บอกเลยว่าอึดอัดแค่ไหน ผมเกลียด ๆ เขามาก ว่าบังคับได้อย่าโหดเหี้ยม ห้ามดูโทรทัศน์  ห้ามนู้น ห้ามนี่  ให้อ่านแต่หนังสืออย่างเดียว  แต่ผมก็คิดได้ว่านั่นละคือสิ่งที่ผมพึ่งได้ ก็คือการศึกษาเท่านั้นที่จะทำให้ผมเป็นอิสระภาพจากการเป็นอยู่แบบนี้ได้
    ตอน ม.ปลายผมได้มีโอกาสเรียนวิทย์-คณิต  มันเป็นโอกาสที่ผมได้ฝึกคิด เรียนรู้อะไรมากมาย ที่นี่เป็นสนามแข่งขัน ผมเหมือนม้าบ้าที่อยากจะออกจากกรงขัง ผมอ่านหนังสือทุกเย็น หลังจากกลับบ้านทำงานบ้านแล้ว ผมต้องฝึกคิดเลขคณิตศาสตร์ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบมากๆ พูดง่ายๆ คือว่าเกลียดทั้งคนสอน และ วิชา แต่ผมก็ต้องกัดฟันสู้  ทุกวิชาที่ผมเรียน ผมตั้งใจและนึกคิดว่าต้องได้ 4 เท่านั้น 4  4   4   ฝันเป็นตัวเลขตลอดและทำแบบฝึกหัดเยอะๆ บางครั้งพอสอบเสร็จผมจะลองเดาเกรดที่ตนเองจะได้เป็น 3 แบบ คือแบบว่าสูงสุด  ปานกลาง และที่ได้แน่ๆ ผมจะทำอย่างงี้เสมอ  สุดท้ายตอนอยู่ ม.6 ผมเรียนได้อันดับ 1 ใน 10 ของโรงเรียนในสายวิทย์-คณิต ไม่น่าเชื่อ ว่าผมทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นผมสอบชิงทุนเรียนมหาวิทยาลัยได้อีกนี่ โชคชะตาที่ผมจะเป็นอิสระภาพได้มาถึงแล้ว  
    ชีวิตของคนเราไม่ได้ถูกกำหนดโดยใคร  เราอาจะเกลียดใครบางคน  รักใครซักคน  โมโห  ร้องไห้  ด้วยความอ่อนแอในบางครั้ง แต่ทุกๆครั้งที่เราผ่านจุดนั้นมา  มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ยิ้มสู้กับปัญหา  คนที่เราเคยเกลียดเขาตอนนี้ผมให้อภัยเขาหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่พวกเขาผมคงไม่ได้มาถึงทุกวันนี้  เวลาผมทำบุญผมอนุโมทนาบุญให้กับคนทุกคนที่ผมรู้จัก และบุคคลเหล่านั้นด้วยที่ทำให้ผมเข้าใจว่าชีวิตไม่ได้
โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพียงแต่เราต้องฟ่าฟันปัญหาต่างๆ  ด้วยตัวของเราโดยมีความมุ่งมั่นและความศรัทธาในตัวของตัวเองว่าเราต้องทำได้อยู่เสมอ ต้องทำบ่อยๆ ผิดพลาดช่างมัน  หาวิธีใหม่ สู้  สู้ เท่านั้น  ไม่มีทางที่เราจะประสบความสำเร็จได้ถ้ามัวแต่คิดแต่เรื่องของเราอย่างเดียว เราต้องเผื่อแผ่สิ่งดีๆ ที่เรามีให้ให้คนอื่นด้วย นั้นละคือความรักที่บริสุทธิ์ละ ณ จุดนี้ผมได้มายืนอยู่ในจุดที่สูงสุดในชีวิตแล้วละ และผมจะรักษาจุดยืนของผมตลอดไป  ความคิดของผมจะไม่เปลี่ยนแปลงไป ในเมื่อผมจะทำในสิ่งที่คนอืนไม่ทำ  ไม่กล้า  ผมจะยอมทำให้ดีสุด เสียสละให้มากที่สุด เพื่อคนที่ผมรักทุกๆ คน ทำให้เขามีคุณภาพให้มากที่สุด อย่าได้เป็นเหมือนชีวิตที่ผมเคยประสบพบมา  เขาต้องมีชีวิตที่ดีกว่า มีอะไรที่มากกว่า  ทำคุณค่าที่ได้มากกว่า  ที่ผมทำ และผมหวังว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นเมล็ดพันธ์แห่งความดีงามที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในการรังสรรพวกเขา ด้วยมือของผม  นี่คือชีวิตจริงของคนๆ หนึ่ง  ที่มายืนในจุดที่เรียกว่า  “ครู”
    ถ้าคุณกำลังโมโหใคร หรือ เกลียดใครบางคนในจุดๆ หนึ่งๆ ที่คุณไม่ชอบเขา นั่นอาจะเป็นข้อเสียของเขา  แต่อย่าลืมมองในแง่ดีของคนอื่นบ้าง เพราะเนื้อที่ของผ้าที่เหลือ เขายังขาวสะอาดเขายังมีความดีอื่นๆ อีกมากมายที่ให้คุณศรัทธา หรือนับถือ การมองคนเพียงจุดๆ หนึ่งแล้วตัดสิน ถามว่าคุณตัดสินด้วยความถูกต้องแล้วหรือ แล้วลองถามตัวเองดูสิว่า ตัวเองมีอะไรมีดีมากจากไหนไปตัดสินในสิ่งที่คนอื่นทำเป็นสิ่งที่ผิด  หากคุณคิดเช่นนั้น ก็ขอให้เปลี่ยนแนวคิดใหม่ซะ ผืนผ้าผืนนี้ถ้ามองเป็น 3 มิติ จุดดำๆ ที่เปื้อนอาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ ของผ้าขาวทั้งกองเลยก็ได้ ดังนั้นชีวิตคนเราไม่มีทางจะสมบูรณ์ได้  อย่าได้เปรียบเทียบอะไรกับใคร  อย่าได้รู้ว่าเขาเป็นอะไร  อย่าได้รู้ว่าเขาคือใคร  เบื้องหลังเขาเป็นอะไร แต่ให้เราว่าเขากำลังทำอะไรอยู่  เขากำลังทำสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดอยู่หรือไม่ ลองคิดทบทวนให้ดีๆ  และคิดให้ดีๆว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่  หากการตัดสินใจเพียงใช้อารมณ์ในการตัดสินมันถูกต้องหรือเหมาะสมหรือไม่  การแสดงความเกรี้ยวกราดต่อคนอื่นที่เราเกลียดถูกต้องหรือไม่
    ดังนั้นเราจึงใหอภัยในความผิดพลาดของของท่านหรือความคิดของท่านที่ยังไม่ได้เจียระไน เพราะท่านก็อาจจะเป็นผ้าที่เปื้อนสีเพียงจุดๆ หนึ่งก็ได้ แต่อย่าลืมว่า ทำอย่างไรอย่าให้มันเปื้อนเพิ่มอีกก็แล้วกัน
“ อดทน  อดกลั้น  ให้อภัย เสียสละ  เป็นศิลปะการใช้ชีวิตของอัจฉริยะบุคคล ”

คำสำคัญ (Tags): #ผ้าขนหนู
หมายเลขบันทึก: 370017เขียนเมื่อ 27 มิถุนายน 2010 21:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 14:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท