เริ่มต้น ขอนำเรื่องเล่า (ที่ได้รับรางวัลของเราเอง)จากพวกเราชาวท่าเรือ มาเล่าสู่กันฟัง
เรื่อง วินาทีฉุกเฉิน
หน่วยงาน อุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน
คนต้นเรื่อง น้องแหม่ม
เช้าวันหนึ่งของการทำงานที่ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินโรงพยาบาลท่าเรือทีมงานของพวกเราเตรียมพร้อมสำหรับการให้บริการคนไข้ที่จะหลั่งไหลกันเข้ามาอย่างแน่นขนัดเหมือนทุกวัน พวกเราให้บริการผู้ป่วยกันไปเรื่อยๆ ตามลำดับคิว แต่แล้วก็มีผู้ป่วยชายอายุ ประมาณ 50 ปี เดินเข้ามาและบอกเราว่าเขามีอาการจุกแน่นหน้าอกร้าวไปที่คอและขากรรไกร เวลาแน่นหน้าอกแขนทั้ง 2 ข้างจะไม่มีแรง เมื่อคืนเขานอนไม่ได้เลยต้องนั่งพิงฝาบ้านจึงหลับได้ รับประทานยา แก้ปวด (Paracetamal) อาการก็ไม่ทุเลา พวกเราจึงรีบให้การดูแลผู้ป่วยตามแนวทางการดูแลผู้ป่วย Chest pain โดยตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ซึ่งผลการตรวจ ออกมาปกติ (NSR) แต่ผู้ป่วยมีอาการผุดลุกผุดนั่งตลอดเวลา เราจึงให้ยา ASA และให้ อม Isordril 5 mg 3 ครั้ง อาการก็ไม่ทุเลา แพทย์จึงส่งไป เอ็กซเรย์ (CXR) ผลการตรวจพบว่ามีหัวใจโตและมีภาวะน้ำคั่งในปอดเล็กน้อย(Cardiomegary + Infiltation ). แพทย์จึงวางแผนส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา แต่ผู้ป่วยปฏิเสธที่จะไปโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา อ้างว่าขณะนี้เขามีอาการดีขึ้นแล้ว และเป็นห่วงการหว่านปุ๋ยในนาข้าวเพราะกำลังอยู่ในฤดูการทำนาและตนเองเป็นกำลังหลักของครอบครัว แพทย์เจรจาถึงความจำเป็นที่ต้องส่งต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยไม่ยอมรับและขอเซ็นชื่อไม่สมัครอยู่ ขอกลับบ้านถ้าเราไม่ให้อยู่โรงพยาบาลท่าเรือเพราะเตรียมใจมาเพียงการนอนที่โรงพยาบาลท่าเรือเท่านั้น พวกเราช่วยกันพูดขอร้องกับภรรยาให้ช่วยพูดกับผู้ป่วยเพื่อไปโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยจึงได้สามารถนำผู้ป่วยขึ้นรถพยาบาลได้ เราจัดพยาบาลไปส่งผู้ป่วย 2 คน ตามแนวทางการส่งต่อผู้ป่วย Acute MI เตรียมอุปกรณ์ เผื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน และความพร้อมของรถส่งผู้ป่วยให้สามารถส่งได้ภายในเวลา 30 นาที เมื่อผู้ป่วยขึ้นบนรถ Refer ได้ประมาณ 10 นาทีผู้ป่วยเริ่มมีอาการแน่นหน้าอก เหงื่อออก อีกวัด ความดันโลหิตได้ 80/50mmhgเอาละซิจะอมยา Isordril ก็ไม่ได้ โทรกลับมาที่ ER ถามแพทย์ว่าจะเอาอย่างไรดีแพทย์ประเมินแล้วบอกว่ารีบไปก็แล้วกัน เราจึงบอกคนขับรถให้เร่งความเร็วอีกหน่อย คนขับรถรับคำสั่งและเพิ่มความเร็วได้อีกเล็กน้อย ซึ่งไม่ทันใจเราเลยเราสะกิดกัน ให้เตรียม Ambu bag ไว้ในมือหน่อย
พอจะถึงแยกถนนสายเอเชียผู้ป่วยบนแน่นมากแล้วผู้ป่วยก็เกร็งและหมดสติ หยุดหายใจเลย เราตกใจบอกเพื่อนให้บีบ Ambu bag ส่วนเราขึ้นคร่อมผู้ป่วยทำ CPR ปากก็บอกคนขับรถแวะรพ.สมเด็จพระสังฆราชก่อน พี่คนขับรถมีสติดีมากเขาหยิบวิทยุที่ติดรถเรียกโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชว่าผู้ป่วยหยุดหายใจจะแวะเข้าไปขอความช่วยเหลือด้วยประมาณ 2-3 นาทีเราก็ถึง โรงพยาบาลเขาเตรียมรับเราดีมาก เตรียมแพทย์ ET Tube ไว้รอและช่วย CPR ผู้ป่วยต่อประมาณ 20 นาทีก็สามารถส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาได้ โดยโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชได้โทรศัพท์ประสานงานกับโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาให้และ เราพาผู้ป่วยไปส่งได้อย่างปลอดภัยโดยมีภรรยาผู้ป่วยนั่งร้องให้ไปตลอดทางเราก็ได้แต่ปลอบใจเท่าที่ทำได้ เพราะก็ต้องเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยไปด้วยและพวกเราก็สามารถส่งผู้ป่วยถึงโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาได้อย่างปลอดภัย หลังจากนั้น เราได้ติดตามอาการผู้ป่วยจากโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาเราทราบว่าได้นอนหอผู้ป่วยหนัก( ICU) และต้องทำการช่วยฟื้นคืนชีพ( CPR) ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาอีกและมีการส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทรวงอก เพื่อทำผ่าตัดเส้นเลือดที่หัวใจ
ต่อมาวันหนึ่งมี ผู้ป่วยชายเดินเข้ามาหาเราที่ห้องฉุกเฉินและ ยกมือไหว้ขอบคุณพวกเรา เรางง เนื่องจากจำผู้ป่วยไม่ได้ ผู้ป่วยก็เลยเล่าความเป็นมาให้พวกเราฟัง พวกเราดีใจมาก ที่ผู้ป่วยที่เคยช่วยฟื้นคืนชีพ( CPR ) สามารถเดินกลับมาหาพวกเราได้อีก ผู้ป่วยขอบคุณที่พวกเราเอาใจใส่ดูแล ไม่รำคาญกับผู้ป่วยดื้อจะไม่ยอมไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ผู้ป่วยบอกว่า “ถ้าวันนั้นลุงไม่ยอมไปโรงพยาบาลใหญ่ ลุงคงตายที่โรงพยาบาลท่าเรือ หรือไม่ก็กลับไปตายที่บ้านแล้ว ลุงฝากขอบคุณ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช และโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ที่ต่างก็ช่วยให้ลุงสามารถกลับมามีชีวิตอยู่กับครอบครัวได้ใหม่ ได้กลับมาทำนา ได้ส่งลูกหลานไปโรงเรียน ลุงฝากบอกหมอด้วยว่าต่อไปลุงจะไม่ดื้อกับหมอ อีก ลุงเลิกบุหรี่แล้ว และลุงจะไปพบหมอตามนัดทุกครั้ง ”
พวกเราไปเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้าน ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงมาก แข็งแรงกว่าเราอีก เพราะสามารถยกปุ๋ยได้ ผู้ป่วยบอกว่าน้ำหนักขึ้นมา 5 กิโล ถุงปุ๋ยก็ยกได้แต่ปริมาณน้อยกว่าที่เคยยก พวกเราแนะนำลุงว่าต้องลดน้ำหนักรับประทานผักและผลไม้เพิ่ม และพวกเราได้ไปดูสำรับอาหารของผู้ป่วยพร้อมทั้งแนะ นำอาหารที่ผู้ป่วยควรรับประทาน เราได้ให้เบอร์ EMS โรงพยาบาลติดไว้ที่เสาบ้านผู้ป่วยด้วย ผู้ป่วยบอกว่า “ ติดไว้แก้เคล็ดนะเพราะลุงไม่อยากใช้บริการลุงอยากไปหาหมอด้วยรถที่ลุงขับไปเองมากกว่า ”
เราได้ส่งข้อมูลผู้ป่วยให้กับเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยรับทราบเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลา ปีกว่าแล้วผู้ป่วยยังแข็งแรง รับการรักษาต่อเนื่อง ผลการตรวจไขมันในกระแสเลือด และความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข และเมื่อ มาโรงพยาบาลครั้งใดผู้ป่วยก็จะแวะเวียนเข้ามาทักทายชาว ER เสมอ
ประสบการณ์ จากการช่วยชีวิตผู้ป่วยรายนี้ทำให้พวกเราภาคภูมิใจทุกครั้งที่ระลึกถึง และความภาคภูมิใจนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานเกิดความตั้งใจในการทำงานอย่างเต็มที่ เรามีการฝึกปฏิบัติและประเมินการช่วยชีวิตอย่างสม่ำเสมอ และเตรียมความพร้อมของ เครื่องมือและอุปกรณ์ทุกเวรเพื่อให้สามารถช่วยผู้ป่วยได้ทันท่วงที เราฝึกพนักงานขับรถทุกคนสามารถให้ใช้วิทยุสื่อสาร ซึ่งพวกเขายังทำได้ไม่ดี แต่ก็มีความพยายามและตั้งใจ เพราะเราคิดว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ในทีมมีความสำคัญ ที่จะทำให้ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ และการส่งต่อผู้ป่วยแต่ละครั้งประสบความสำเร็จได้ด้วยดี
สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ...เข้ามาเยี่ยมเยือนท่าเรือค่ะ...คิดถึงนะคะ...เยี่ยมมากๆ ค่ะพี่เจี๊ยบและทีมงาน
น้องแหวว
ขอบคุณนะคะ..น้องแหวว เราจะเป็นกำลังใจให้....ตลอดไป
สวัสดีค่ะ...
มาอ่านประสบการณ์ที่ดีมีคุณค่าค่ะ...การทำงานเป็นทีมเป็นสิ่งที่สำคัญในโลกยุคปัจจุบันมากค่ะ...ขอขอบคุณบันทึกดี ๆ มีประโยชน์ค่ะ...
ขอขอบคุณอาจารย์มากนะคะ..ที่ให้โอกาสได้ร่วมเรียนรู้ด้วยกันค่ะ
เยี่ยมมากครับไปธุระเขตรพ.ท่าเรือบ่อยๆขอเป็นกำลังใจให้ทีมงานทุกคนครับ
ประทับใจจังอ่านแล้วรู้สึกดีมากเป็นแรงใจให้เราชาวER..ทุกคน
นาย สมร ฤาษี : ขอบคุณนะคะ
นัยนา วุฒิยา : ขอบคุณนะคะ
กลับมาอ่านอีกครั้ง
ก็ยังประทับใจ ทุกครั้ง
น้องเจี๋ยบ บังกลับมาถึงบ้านเมื่อคืน มีงานต่อที่วังน้ำเขียว ขึ้นมาเที่ยวนี้คุ้มสุดๆ