อนงค์นาถ
นาง อนงค์นาถ อนงค์นาถ ศูนย์ศร

เรื่องที่ขำไม่ลง


เป็นเรื่องบอกเล่าของผู้หญิงคนหนึ่ง  เธอเก็บมันไว้เป็นความลับที่อยู่ในความทรงจำ.. มานานกว่า 40 ปี  ไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟัง เพราะติดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าน่าอายมากกว่าคนอื่นอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องขำ ๆ  แต่ในความรู้สึกของเธอเอง มันคือนาทีวิกฤตครั้งหนึ่งของชีวิต...ที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด

ในชนบท ทุรกันดาร น้ำดื่ม น้ำใช้ต้องไปตักมาจากบ่อท้ายหมู่บ้าน.. ห่างออกไปเกือบ300 เมตร     ชาวบ้านจะช่วยกันขุดบ่อน้ำไว้ใช้ร่วมกันในแต่ละระแวกบ้าน (คุ้ม)    บ่อน้ำดื่มจะขุดไว้ห่างจากหมู่บ้านมากกว่าน้ำใช้ เพราะจะถือว่าสะอาดห่างจากสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ มากกว่า   ลักษณะเป็นบ่อดินลึกกว่า 10 เมตร  ที่มุมหนึ่งของปากบ่อวางพาดด้วยแผ่นไม้ เรียกว่า “แป้นปีก” สำหรับเป็นที่เหยียบเวลาตักน้ำขึ้นมาจากบ่อ

วิธีเอาน้ำจะต้องใช้ไม้ตะขอที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งลำที่ตอกเสียบด้วยลิ่มไว้ที่ด้านโคน ให้ลิ่มโผล่ยื่นออกมาเป็นลักษณะงอ ๆ สำหรับเป็นที่คล้องเกี่ยวกับหูหิ้วของถังน้ำยื่นลงไปตักเอาน้ำขึ้นมา  

การจะเอาน้ำขึ้นมาจากบ่อได้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กหญิงตัวผอมเล็กอย่างเธอ    มันหนักมาก  ไม้ตะขออย่างเดียวก็หนักมากกว่าน้ำหนักตัวเธอแล้ว   ที่จะต้องระวังเป็นพิเศษคือระวังไม่ให้ถังหลุดและจมหายลงไปในบ่อ.. เพราะนั่นหมายถึงเธอจะต้องถูกแม่บ่น หรืออาจถูกตี และแม่จะไล่ให้เธอรีบเอาอวนขาดผูกติดกับปลายไม้ไผ่ที่หยั่งยาวจนถึงก้นบ่อไปเกี่ยวเอาถึงขึ้นมา  ซึ่งนั่นหมายถึงเธอจะทำให้เพื่อนบ้านหลายคนที่ใช้บ่อน้ำร่วมกันเดือดร้อนไปด้วย  เพราะน้ำจะขุ่นนำไปดื่มไม่ได้ในวันนั้น

เธอเคยตักเอาน้ำขึ้นมาได้เอง เพียงไม่กี่ครั้ง... อย่างยากลำบาก...เคยได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านที่เขารอคิวตักน้ำช่วยตักขึ้นมาให้ก็หลายครั้ง   และมักได้ยินเขาพูดเหมือนบ่น เสมอว่า “เด็กตัวเล็กแค่นี้ยังใช้ให้มาตักน้ำคนเดียว”  “ผู้ใหญ่ไปไหนหมด ทำไม่ใช้ให้เด็กมาตักน้ำ”   “เดี๋ยวก็ตกบ่อน้ำตายหรอก”

 แม้เธอจะรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงและคำพูดเหล่านั้นจะแฝงด้วยการประชดประชัน แต่หลายครั้งที่ถูกแม่ใช้ให้ไปตักน้ำ เธอจะภาวนาในใจเสมอขอให้เจอเพื่อนบ้าน  เจอผู้ใหญ่ใจดี หรือใครก็ได้ในบริเวณนั้นที่จะเป็นเพื่อนและช่วยเธอได้... เพราะบริเวณนั้นเป็นป่า น่ากลัว... แต่เธอก็กลัวแม่มากกว่า เธอไม่กล้าปฏิเสธ  ไม่กล้าบอกแม่ว่าเธอตักน้ำขึ้นมาเองไม่ได้  เธอถูกเลี้ยงดูมาแบบนั้นคำพูดของพ่อแม่คือประกาศิตที่เธอจะต้องทำตาม.. เธอเคยสงสัยเหมือนกันว่าแม่เคยไปเห็นบ่อน้ำช่วงนั้นไหม.. แม่รู้ไหมว่ามันน่ากลัว  และอาจเกิดอันตรายอะไรบ้าง... แต่เธอก็ไม่เคยถาม ไม่เคยคุยกับแม่เรื่องนั้น

ปกติเธอจะไปตักน้ำพร้อมกับพี่สาวเสียส่วนใหญ่  แต่วันนั้นพี่สาวไปดำนาแต่เช้ามืด  ครั้งนี้เธอไปตักน้ำคนเดียว  บริเวณนั้นไม่มีใครเลย วันนั้นไม้ตะขอหนักกว่าทุกวัน เพราะเป็นไม้เพิ่งเปลี่ยนใหม่.. ยังไม่แห้งดี...    2-3 วันก่อนฝนตกหนัก ดินที่ปากบ่อพังทลาย จนเป็นช่องโหว่ใหญ่ระหว่างขอบดินและแผ่นไม้ เมื่อไปยืนบนแผ่นไม้นั้นแล้วมองลงไปในบ่อ  มันลึกมาก  รู้สึกหวาดเสียว... กลัวจะลื่น และพลัดตกลงไป

เธอใช้ไม้ตะขอคล้องเอาถังลงไปตักน้ำอย่างระมัดระวัง  เพื่อไม่ให้หนักเกินไปเธอพยายามจะตักเอาน้ำไม่ให้เกินครึ่งถังเพาะเป็นถังใบใหญ่....  สำเร็จไปแล้ว 1 ถัง...    ถังที่ 2 เธอพลาด...  น้ำเต็มถังซะแล้ว ตวัดไม้ตะขอเพื่อให้น้ำกระฉอกออกก็ไม่สำเร็จ...  เธอดึงไม่ขึ้น พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าสุดแรง ก็ไม่เป็นผล...

ในใจภาวนาขอให้มีใครก็ได้มาตักน้ำและขอให้ช่วยเธอด้วย......แต่ดูตะวันสายมากแล้ว ไม่มีใครมาตักน้ำเลย    เขาคงไปทำนากันหมด...จะทำอย่างไรดี เธอยืนจับไม้ตะขออยู่อย่างนั้น  ประคองไม่ให้ถังหลุดจมหายไปในก้นบ่อ..

เธอเหนื่อย..  เธอเริ่มร้องไห้ น้ำตาที่เอ่อในเบ้าตา ทำให้เธอมองเห็นถังในบ่อไม่ชัด  เธอจะต้องหลับตาแน่นปี๋เพื่อบีบไล่น้ำตาที่มันบดบังการมองเห็นออกไปหลายครั้ง

ผ้าถุงก็หลุด.. จะปล่อยมือจากไม้ตะขอเพื่อนุ่งผ้าถุงใหม่ก็ทำไม่ได้เพราะถังจะจมหายเธอไม่มีความหวังว่าจะมีใครที่ไหนมาช่วยแล้ว... เธอเท่านั้นที่จะช่วยตัวเอง  เธอตัดสินใจปล่อยผ้าถุง... ปล่อยให้ตัวเองเปล่าเปลือยร่างกายท่อนล่างอยู่อย่างนั้น... ไม่มีแม้กระทั่งกางเกงใน..

เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการดึงลากถังขึ้นมาให้ได้ ไม่ว่าจะได้น้ำขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม  เธอเปลี่ยนแนวการดึงใหม่จากที่เคยดึงขึ้นตรง ๆ เป็นลากเอียงให้ส่วนโคนของไม้ตะขอยันกับดินที่ขอบบ่อเพื่อหยุดพักเป็นระยะ ๆ เลื่อนขึ้นทีละน้อย ๆ

เธอลื่นล้มก้นจำเบ้าบริเวณขอบบ่อนั้นด้วย... หลายครั้ง  ในที่สุดเธอเอาถังขึ้นมาได้ หัวใจเธอเต้นแรง  ขาสั่นแด๊ก ๆ จนพยุงตัวยืนไม่อยู่หมดแรงอยู่ตรงนั้นพักใหญ่.... 

ในถังเหลือน้ำประมาณครึ่งถังและในนั้นเต็มไปด้วยดินและใบหญ้า  เธอเทมันทิ้งทันทีที่เอาขึ้นมาได้   เธอมองดูหญ้าบริเวณรอบ ๆ ปากบ่อที่เรียบเตียน  เต็มไปด้วยรอยลื่นไถลครั้งแล้วครั้งเล่าของเธอ... เธอเอาน้ำที่ตักได้ถังแรกมาเทแบ่งใส่อีกถัง ได้ข้างละ ¼ ของถัง  หาบกลับไปบ้าน  เป็นครั้งแรกที่เธอไม่นึกกลัวว่าจะถูกแม่บ่นหรือถูกตี  เพราะสิ่งที่หนักหนาสาหัสกว่าเธอได้เจอมาแล้ว....

เธอคิดว่ารอดชีวิตมาได้ครั้งนั้น เพราะได้รับการปกปักรักษาจากแม่พระธรณีแถวนั้นแน่ ๆ  ณ วันนี้ เธอรู้ว่าการตัดสินใจแก้ปัญหาของเธอในครั้งนั้นมันเสี่ยงอันตรายมาก...

แบบแผนการดำเนินชีวิต  และการอบรมเลี้ยงดูที่คนเราได้รับมีผลต่อการตัดสินใจเสมอคนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่เข้มงวดเกินไป อาจไม่กล้าตัดสินใจในการกระทำบางอย่าง  ที่ผู้มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขาประทับตราให้รับรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิด... จนลืมนึกถึงความคุ้มค่า คุ้มทุน

เหมือนเด็กหญิงคนนั้น  ที่ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อแลกกับการที่จะไม่ถูกแม่ตี  เหตุเพราะปล่อยถังน้ำให้จมหายไปในบ่อ... เท่านั้น

หมายเลขบันทึก: 369294เขียนเมื่อ 25 มิถุนายน 2010 19:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม 2012 23:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

เป็นปรัชญาชีวิตที่เตือนใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ได้อย่างดี

ถ้าเกิดวันนั้นเด็กหญิงโชคไม่ดีลื่นไถลลงไปในบ่อ....จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

หรือหากวันร้ายคืนร้ายเด็กหญิงเจอเข้ากับซาตานในร่างของมนุษย์....จะเป็นอย่างไร

แล้วคนที่จะเสียใจที่สุดคุณคิดว่าจะเป็นใคร???

สวัสดีค่ะ คุณ kruqui chutima

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน เข้ามาเยี่ยม นะคะ

ดีใจค่ะ ถ้าบันทึกนี้จะมีประโยชน์

เป็นคติเดือนใจ เป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่เป็นคุณพ่อ คุณแม่ ได้บ้าง

สวัสดีค่ะพี่นาถ

อุ้มอ่านบันทึกนี้ด้วยความรู้สึกเห็นใจ เข้าใจเด็กหญิงคนนั้น เธอต่อสู้ อดทนดีมากค่ะ สามารถผ่านอุปสรรคมาได้

ขอบคุณเรื่องราวและข้อคิดที่นำมาแบ่งปันค่ะ

อ่านแล้วทำให้เราต้องรู้จักอดทนมากขึ้นค่ะ

ชนบทมักมีปัญหาแบบนี้

โชคดีที่เด็กน้อยรอดมาได้

แต่แผลในใจของเธอยังอยู่...

ปล่อยให้มันเลือนหายไปเถอะ..ที่รัก

บทเรียนชีวิตนี้..มันเศร้าจัง

สวัสดีค่ะ อุ้ม

ขอบคุณเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นค่ะ

ถ้าเด็กหญิงคนนั้นเป็นลูกแม่อุ้ม

... แม่อุ้มจะปลอบใจเขา จะกอดเขา จะไม่ตีเขา

แม้ว่าเขาจะตักน้ำมาได้แค่นิดเดียว ใช่ไหม....

สวัสดีค่ะ คุณไผ่ไม่มีกอ

ขอบคุณที่แวะมาทักทายนะคะ

สวัสดีค่ะ คุณครู ป.1

ยินดีที่รู้จักนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้

ขอบคุณ ความเห็นใจ กำลังที่มีให้... แทนเด็กหญิงคนนั้นด้วยค่ะ

  • สวัสดีค่ะ
  • แวะมาทักทาย และมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่ะ

                     

แวะมาทักทายอีกรอบและเอาดอกไม้มาฝากค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณบุษรา

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม พร้อมคลิปน่ารัก

ภาพที่นำมาฝากดูแล้วคลายเครียดดีจังค่ะ เผลอหัวเราะไม่รู้ตัว

มันเป็นความฉลาดของเจ้าจ๋อ หรือว่าเป็นความบังเอิญ เน๊าะ ..

สวัสดีค่ะ kruqui

สาวน้อยกับช่อดอกไม้.. น่ารักมากค่ะ

ขอบคุณที่คิดฮอด คิดถึงเช่นกันค่ะ

สวัสดีคะพี่นาถ ตั้งใจจะอ่านหลายรอบแล้ว นี้คือชีวิตของเราชาวชนบทที่แท้จริง อย่าให้มันอยู่ในใจเรา เพราะมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แล้วเราก็จะพบความสุขที่แท้จริง เป็นกำลังใจให้

สวัสดีค่ะ เจ๊ติ๋ว (ธิดารันต์)

ดีใจ และขอบคุณมากค่ะ ที่แวะมาเยื่ยม Blog

ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ให้เด็กหญิงคนนั้น

เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตคนสมัยใหม่ มันแตกต่างกันมากมาย ความรู้สึกตอนนี้ต่อเหตุการณ์เช่นนั้น คือ ความขอบคุณ เพราะนั่นคือบทเรียน บททดสอบที่ทำให้เป็นเราในวันนี้

past perfect event

that story remain in your spirit-mind

and that make power and more strong today

proud and

love you so much

yodyayeeammy

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท