putarapon


นิยามของกรรมและวิบาก

กรรม แปลว่าการกระทำ แบ่งอย่างกว้างสุดเป็นทำดี (กุศลกรรม) และการทำชั่ว (อกุศลกรรม) และการกระทำนั้นย่อมไหลมาจากเจตนา จึงต้องตัดสินกันที่เจตนาว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ คือจะเห็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดก่อน แล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ดังนี้จะเห็นว่ากรรมมิใช่สิ่งที่ลี้ลับแต่อย่างใด ไม่ต้องใช้ความสามารถแบบผู้วิเศษที่ไหน ถ้าหากเห็นเข้าไปในขณะหนึ่งๆได้ว่าเรามีเจตนาอย่างไร ก็เรียกว่าเป็นผู้เห็นกรรมของตนเองแล้วว่าดีหรือร้าย หากเป็นไปในทางเกื้อกูลกรุณาก็ต้องว่าดี หากเป็นไปในทางเบียดเบียนให้เดือดร้อนก็ต้องว่าร้าย

ขอยกตัวอย่างง่ายที่สุด คนเราอาจร้องดังๆออกมาเป็นคำว่า ‘เฮ้ย!’ เหมือนกัน ทั้งสุ้มเสียง ทั้งระดับเสียง ทั้งความสั้นยาวของเสียง ดูเผินๆน่าจะก่อกรรมทางวาจาอันเดียวกัน แต่หากทราบว่าร้องในเหตุการณ์แบบไหนก็จะเห็นเจตนาที่อยู่เบื้องหลังวจีกรรม เช่นถ้าร้องขึ้นมาข้างหลังคนกำลังเผลอ กะให้เขาสะดุ้งตกใจขวัญหาย อันนั้นก็เรียกว่ามีความประสงค์ร้าย แต่ถ้าร้องขึ้นเตือนเพราะเห็นคนกำลังจะเดินเหม่อให้รถชน เช่นนั้นจะเรียกว่ามีความประสงค์ดี

แม้ทางกฎหมายเวลาจะตัดสินใครก็ดูกันที่เจตนา ไม่ใช่เห็นใครฆ่าคนแล้วตัดสินไปเหมือนๆกันหมด กฎแห่งกรรมก็เช่นนั้น คือไม่ได้มองกรรมโดยความเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มองกรรมโดยความเป็นเจตนา ถ้าจำไว้อย่างนี้ก็จะสบายใจและตอบคำถามให้ตัวเองได้หลายๆเรื่อง เช่นขับรถอยู่ดีๆมีแมวโดดใส่ล้อ ไม่เปิดโอกาสให้เราเบรกใดๆทั้งสิ้น อย่างนี้เราย่อมไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่าสัตว์แต่อย่างใดเลย

อีกประเด็นหนึ่ง มีผู้เชื่อว่าคนเราเจตนาทำอะไรไปทั้งชีวิตนั้นก็เพราะการดลบันดาล หรือเพราะการควบคุมของสิ่งลี้ลับที่ทรงอำนาจเหนือมนุษย์ ความจริงการคิดทำอะไรของเราเป็นเพียงปฏิกิริยาโต้ตอบสิ่งกระทบเท่านั้น ดังเช่นที่พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า ก็เหตุเกิดแห่งกรรมเป็นไฉน? ผัสสะนั่นเองเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม

ฉะนั้นหากขาดผัสสะเช่นรูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น ของกระทบตัว นามธรรมกระทบใจ จิตของเราจะว่างเฉย ไม่น้อมไปสู่ความจงใจเจตนากระทำการใดๆเลย ตัวอย่างเช่นถ้าเด็กข้างถนนผู้ตกยากไม่มีความหิวโหยแตะต้องกาย น้ำลายก็จะไม่ไหลสอ ใจคอจะไม่อยากลอบขโมยข้าวและน้ำขึ้นมาได้ เป็นต้น ส่วนที่ว่าเขาจะยับยั้งชั่งใจหรือตัดสินใจลงมือขโมย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับการรบกันระหว่างกิเลสและมโนธรรม ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียดในบทต่อๆไป

ในที่นี้สรุปคือโดยความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆที่มีหูตา มีหนึ่งสมองสองมืออย่างนี้เอง สามารถเข้าอกเข้าใจเรื่องกรรมได้ เพราะทั้งเหตุให้เกิดกรรม และทั้งเจตนาก่อกรรมหนึ่งๆนั้น สามารถสืบทราบ ตรวจสอบ และรู้จริงแก่ใจตนว่าทำสิ่งใดเพราะอะไร และเพื่ออะไร

วิบาก แปลว่าผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วที่ทำไว้ วิบากเป็นสิ่งที่รู้ไม่ได้ง่ายๆเหมือนกรรม ดังที่กล่าวแล้วแต่ต้นว่าวิบากกรรมเป็นหนึ่งในอจินไตย ไม่ควรคิดคาดเดาให้เกิดโทษทางใจเปล่าๆ อย่างเช่นเราชอบไปเร่งรัดระคนสาปแช่งให้คนเลวได้รับความวิบัติไวๆ ยิ่งถ้าใครทำร้ายเราแล้วไม่เห็นเขาถึงความวอดวายภายใน ๓ วัน ๗ วัน ก็มักบ่นว่าสงสัยวิบากกรรมไม่มีจริงกระมัง

ที่วิบากเป็นสิ่งรู้ได้ยาก หรือกระทั่งเชื่อได้ยากว่าเป็นของจริง ก็เพราะลำดับการให้ผลของกรรมนี่เอง เช่นบอกยากว่าเราร้อง ‘เฮ้ย!’ ด้วยเจตนาแกล้งคนไปแล้วเมื่อใดผลนั้นจะย้อนกลับมาหาเรา ลองตรองดูว่าถ้าร้องแกล้งเพื่อนให้ตกใจเล่นโดยทราบว่าเป็นไปเพื่อหัวเราะสนุก ก็จะมีน้ำหนักความรู้สึกที่ใส่ลงไปในการกระทำอย่างหนึ่ง แต่ถ้าร้องแกล้งคนแก่ที่เราทราบว่าเป็นโรคหัวใจ ไม่ควรตกใจมากๆอาจช็อกได้ น้ำหนักความรู้สึกที่ใส่ลงไปในการกระทำจะต่างไปเป็นคนละเรื่องทันที ด้วยความคิดนึกคาดเดาธรรมดาเราจะไม่มีวันรู้เลยว่าผลสะท้อนที่ย้อนกลับมาหาตัวนั้น ระหว่างแกล้งเพื่อนเอาสนุกกับแกล้งคนแก่ให้ช็อกตายจะต่างกันขนาดไหน ที่สำคัญคือเมื่อใดจะให้ผล เมื่อให้ผลแล้วเราอาจนึกไม่ถึง หรือลืมไปแล้วว่าเคยก่อกรรมอันเป็นต้นเหตุให้โดนลงโทษแต่ปางไหน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า วิบากแห่งกรรมเป็นไฉน? เราย่อมกล่าววิบากแห่งกรรมว่ามี ๓ ประการ คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันหนึ่ง กรรมที่ให้ผลในภพที่ไปเกิดใหม่หนึ่ง กรรมที่ให้ผลในภพถัดๆไปหนึ่ง เหล่านี้แหละเรียกว่าวิบากแห่งกรรม

ถ้าทราบว่าร่างกายนี้ก็เป็นวิบากกรรมของเรา เราจะทราบว่าแม้วินาทีที่หายใจเข้าออกในปัจจุบัน เราก็กำลังเสวยวิบากของกรรมอันทำไว้ในอดีตชาติอยู่ เช่นเมื่อเจอใครเขาให้ความชื่นชมว่าเราสวยหล่อ อันนั้นก็เรียกว่าเป็นการเสวยผลจากกุศลกรรมเก่าในอดีตที่มาให้ผลในชาติปัจจุบัน เป็นต้น

นอกจากนี้ผู้คนและสรรพสิ่งในโลกทั้งใบ ก็เหมือนถูกจัดตั้งมาให้พร้อมตกรางวัลและลงโทษเราได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่มีการพักร้อนหรือวันหยุดพิเศษด้วย ฉะนั้นสิ่งที่เราทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจพุ่งย้อนกลับมาสนองตอบรวดเร็วราวกับจรวดภายในชั่วโมงหรือสองชั่วโมงถัดจากนาทีที่ก่อกรรมก็ได้!

วิบากกรรมเป็นธรรมชาติที่มีความอัศจรรย์ และไม่มีธรรมชาติอื่นมาเปรียบเทียบ เพราะวิบากกรรมอาจทำตัวเป็นแรงดึงดูด เป็นแรงผลักดัน เป็นผู้ก่อสร้าง หรือเป็นผู้ทำลายก็ได้ทั้งนั้น และสำคัญคือการเข้าคิวให้ผลนั้น ไม่อาจประเมินหรือประมาณเอาด้วยอคติของปุถุชนธรรมดา

แต่ละคนมีฐานอำนาจที่พร้อมให้ก่อกรรมต่างกัน เช่นเศรษฐีจะให้ทรัพย์แก่ผู้ตกยากได้มากกว่าคนใจบุญที่รวยน้อยกว่า ขณะเดียวกันเศรษฐีก็มีอิทธิพลจ้างวานคนไปบุกรุกหรือทำร้ายศัตรูได้มากกว่าคนใจบาปที่รวยน้อยกว่าไปด้วย

และฐานอำนาจที่กรรมเก่าส่งมาให้นั้น ก็เป็นเสมือนกำแพงปกป้องที่มีความหนาบางและสูงต่ำผิดกัน เช่นเศรษฐีใหญ่ต้องเล่นพนันหลายปีกว่าจะหมดตัว ในขณะที่ชาวบ้านฐานะปานกลางเล่นพนันไม่กี่วันอาจล่มจมล่อนจ้อนได้ หากกรรมเก่าในอดีตให้วิบากเป็นเรือใหญ่เอาไว้ลอยลำอย่างปลอดภัยแล้ว เจ้าของเรือต้องทุบ ต้องเจาะ ต้องรื้อเรือตัวเองกันนาน กว่าที่เรือจะจม อันนี้คงพอทำให้หายสงสัยได้ว่าเหตุใดผู้ที่เราพิจารณาว่าเขาเลวสุดๆถึงไม่ได้รับการลงโทษจากกฎแห่งกรรมเสียที

เราอาจเห็นเฉพาะเมื่อเขาสร้างอกุศลกรรมในปัจจุบัน แต่ไม่เคยเห็นเลยว่าปางก่อนปางไหนเขาสร้างอัครมหากุศลยิ่งใหญ่เกินกันเพียงใด ดังนั้นจึงควรทำใจเป็นกลาง บอกตนเองว่าเรายังไม่รู้แจ้งเรื่องวิบาก แต่หากรู้จริงๆก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธองค์ประทานไว้ กระทั่งมีสมาธิตั้งมั่น จิตมีความผ่องแผ้วจากกิเลส มีความเป็นกลางไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเอง ไม่มีอคติกับใครอื่น จึงค่อยน้อมจิตไปหยั่งรู้ จับคู่ได้ถูกว่าวิบากนี้ไหลมาแต่กรรมอันใด หรือก่อกรรมนี้แล้วจะต้องไปเจอกับวิบากท่าไหน แนวทางปฏิบัติดังกล่าวจะแสดงไว้ต่อไปในหนังสือเล่มนี้ด้วย

ขอกล่าวถึงเกร็ดเกี่ยวกับคำว่า ‘กรรม’ อีกสักนิด นิยามของกรรมยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เป็นลบ คือดั้งเดิมในภาษาทมิฬหรือมลายู กรรมจะหมายถึงผลร้ายของการกระทำ ดังนั้นถ้าใครใช้คำว่ากรรมคำเดียวแทนบาปเคราะห์ หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นวิบากร้าย เช่นไทยเรามักพูดว่า ‘ไปทำเวรทำกรรมมาแต่ไหนหนอ?’ ก็ไม่ถือว่าผิดจากความหมายของต้นตำรับเสียทีเดียว เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิดหนึ่ง ว่าพุทธเรากล่าวถึงกรรมโดยความเป็นกลาง สื่อได้ทั้งทางดีและทางร้าย ถ้าเป็นกรรมดีก็เรียก ‘กรรมขาว’ บ้าง หรือ ‘กุศลกรรม’ บ้าง ส่วนถ้าเป็นกรรมร้ายก็เรียก ‘กรรมดำ’ บ้าง หรือ ‘อกุศลกรรม’ บ้าง

 

หมายเลขบันทึก: 367527เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2010 22:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 14:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • สวัสดีค่ะ
  • ฮ่าๆๆๆๆๆ ถูกใจจริง ๆ หาว่าพี่นกเรียนทนายเพราะช่างซัก  ไม่ถึงขนาดนั้นไอ้น้องชาย....แต่ถ้าซักผ้านั้นซักบ่อย ๆ ต้องกลับไปซักผ้าให้คุณพ่อ และคุณแม่ทุกเสาร์อาทิตย์เลยจ๊า
  • คุณสมบัติของแม่บ้านคุณภัทร 3 หัวข้อใหญ่ ๆ นั่นถ้าซอยให้เป็นหัวข้อเล็ก ๆ อีกแค่พี่นกอ่านก็หนาวแล้วค่ะ.....ช่างเลือกจริง ๆ น้องชายเรา
  • ดูของพี่นกซิ ไม่เคยตั้งสเปคกับผู้ชายเล้ยยยยยย ยังหาไม่ได้ทีเหมือนกัน....บางครั้งก็มีน้อยใจบ้างเหมือนกัน "ขนาดจิ้งจก ยังมีคู่แล้วเราครบอาการ 32 ทำไมถึงยังหาไม่ได้......
  • แต่มีอีกหัวข้อหนึ่งที่พี่นกทายถูก "เรื่องคุณภัทรเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว".....ใช้เทคนิคพิเศษเดาค่ะ 
  • ขอบคุณค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท