การตรวจพิเศษหัวใจ (ต่อ)


การตรวจพิเศษหัวใจ

การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจชนิดถาวร

หัวใจเราทำงานบีบตัวได้ เพราะมีกลุ่มเซลล์ที่สร้างกระแสไฟฟ้าเป็นจังหวะ 60 - 100 ครั้งต่อนาที และกระแสไฟฟ้าจะเดินทางไป ตามเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เกิดการบีบตัวเอาเลือดออก ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากเกิดความผิดปกติขึ้น ที่กลุ่มเซลล์เหล่านี้ หรือมีความผิดปกติของการส่งกระแสไฟฟ้า หัวใจของเราก็จะเต้นผิดปกติ คือ อาจจะเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ โดยเฉพาะ คนที่อายุมากๆ หากมีอัตราการเต้นของหัวใจช้า เพียง 30 - 40 ครั้งต่อนาที หรือมีภาวะหัวใจ เต้นๆ หยุดๆ ซึ่งถ้าหยุดนานเกินกว่า 2.5 วินาที จะมีอาการวูบๆ หน้ามืด หรือ หมดสติได้ อาการเหล่านี้ จะตรวจพบได้ จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือ จากการบันทึก คลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง

นับเป็นความก้าวหน้าในวงการแพทย์อย่างยิ่ง ที่ในปัจจุบันนี้ สามารถคิดค้นวิธีการและเครื่องมือ สำหรับการรักษาความผิดปกติ ของหัวใจชนิดต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึง ภาวะหัวใจเต้นช้าอย่างผิดปกติด้วย หากเกิดอาการดังกล่าว แพทย์จะแนะนำให้ ท่านได้รับการใส่ เครื่องกระตุ้นหัวใจชนิดถาวร หรือ  "Permanent Cardiac Pacemaker"

เครื่องกระตุ้นหัวใจคืออะไร

เป็นเครื่องมือขนาดเล็กๆ กว้างยาวประมาณ 4 - 5 เซนติเมตร หนาประมาณ 1/2 เซนติเมตร ภายในจะประกอบด้วย

 
1.
ส่วนรับรู้การเต้นของหัวใจ
 
2.
ส่วนส่งพลังงานไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจ เมื่อพบว่าหัวใจเต้นช้ากว่าความต้องการของร่างกาย
 
3.
ส่วนแบตเตอรี่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักให้พลังงานได้ 5 - 10 ปี แล้วแต่ปริมาณการใช้งาน

วิธีการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ

อาจจะทำได้ทั้งที่ห้องผ่าตัด หรือห้องสวนหัวใจ ที่มีเครื่องเอ็กซเรย์พิเศษ (Fluoroscope) เพราะเป็นการผ่าตัดเล็ก ไม่ต้องดมยาสลบ ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ เท่านั้น มักใส่สายเข้าทางหลอดเลือดดำ บริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า ฝั่งของแขนข้างที่ไม่ถนัด เช่น แขนซ้าย เป็นต้น ส่วนเครื่องก็ฝังไว้ใต้ชั้นไขมันฝั่งเดียวกัน หลังใส่เครื่องเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะแนะนำ ไม่ให้ท่านขยับแขนด้านนั้นมาก ไม่ยก สูง ประมาณ 24 ชั่วโมง จากนั้นก็กลับบ้านได้ โดยต้องดูแลแผลให้แห้งดี อย่างน้อย 1 สัปดาห์

วิธีการเตรียมตัวก่อนใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ

แพทย์จะแนะนำให้ท่าน งดน้ำงดอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนทำ

การปฏิบัติตัวหลังใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ

 
1.
ควรมาพบแพทย์เป็นระยะๆ โดยเฉพาะ 3 เดือนแรกหลังใส่เครื่อง เพราะจะได้รับการตรวจเช็คเครื่อง อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ มีการปรับพลังงาน และโปรแกรมของเครื่องให้เหมาะสม เพื่อเป็นการยืดอายุของแบตเตอรี่อีกทางหนึ่งด้วย
 
2.
เมื่อจะเดินทางผ่านเครื่องตรวจจับโลหะในสนามบิน ต้องแสดงบัตรประจำตัวผู้ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิตจะออกให้ท่านไว้แล้ว เพื่อจะได้ไม่เป็นการยุ่งยากในการตรวจค้น
 
3.
หากท่านใช้โทรศัพท์มือถือรุ่น Digital ควรถือด้านที่ไม่ได้ใส่เครื่อง หรือถือให้ห่างจากตัวเรื่องประมาณ 6 นิ้ว ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการรบกวนการทำงานของเครื่อง ซึ่งอาจจะเกิดได้บ้าง
 
4.
ไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องตรวจสมองแบบ MRI เพราะเครื่องจะถูกแรงแม่เหล็กเหนี่ยวนำ ทำให้เสียหายได้
 
5.
หากจะมีการผ่าตัด ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอ รวมทั้งการฉายแสง รักษามะเร็งด้วย
 
6.
อื่นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์

 การจี้ทำลายวงจรไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติให้หายขาดด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง

 


เป็นการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแนวใหม่ โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง เข้าไปทำลายวงจรไฟฟ้าที่ผิดปกติภายในหัวใจ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุ ทำให้เกิดการเต้นผิดจังหวะของหัวใจได้ การรักษาโดยวิธีนี้ ใชัหลักการเดียวกันกับการสวนหัวใจ และกำลังเป็นที่นิยม ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธี ที่ได้ผลสูงและปลอดภัย ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้แล้ว บางรายไม่ต้องรับประทานยารักษาอาการ หัวใจเต้นผิดจังหวะอีกเลยตลอดชีวิต

อาการสำคัญคือ ใจสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ อยู่ดีๆ หัวใจก็เต้นเร็วผิดจังหวะขึ้นอย่างกระทันหัน ทำให้มีอาการเหนื่อยมาก บางครั้ง เหนื่อยเพลียมาก จนทำอะไรไม่ได้ต้องนอนพัก บางรายรู้สึกหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม คล้ายใกล้จะเสียชีวิต บางรายจะสามารถสังเกต เห็นหัวใจของตนเองเต้นเร็วอยู่ที่หน้าอก หรือ หน้าอกกระเพื่อมให้เห็นอย่างชัดเจน อาการเหล่านี้ หากเกิดบ่อยๆ และหรืออาจจะมี อาการอื่นๆ ร่วมด้วย ท่านควรรีบมาพบแพทย์ทันที

การเตรียมตัว

คล้ายกับการเตรียมตัวสวนหัวใจ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้แนะนำรายละเอียดแก่ท่านอีกครั้งหนึ่ง โดยทั่วไปแล้ว ท่านควรงดน้ำงดอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ก่อนการทำ

ลักษณะของการทำ RF - Ablation

 
1.
จะทำในห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ ขณะทำต้องมีกล้องเอ็กซเรย์พิเศษ (Fluoroscope) ดูภาพตลอดการทำไม่มีการดมยาสลบ จะใช้ยาชาเฉพาะที่เท่านั้น
 
2.
การเข้าไปตรวจเช็คระบบวงจรไฟฟ้าในหัวใจ ตลอดจนการจี้ทำลายวงจรที่ผิดปกติ จะใช้สายสวนชนิดพิเศษ ซึ่งมีขนาดเล็ก เข้าทางหลอดเลือดดำ ที่ขาหนีบทั้ง 2 ข้าง คล้ายการสวนหัวใจทั่วไป
 
3.
การรักษาจะใช้เวลาประมาณ 3 - 5 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะรู้สึกตัว และพูดคุยกับแพทย์ได้ตลอดเวลา
 
4.

ผลแทรกซ้อนที่อาจจะเกิด จากการรักษาด้วยวิธีนี้ มีน้อยมากเพียง ร้อยละ 2 - 3 เท่านั้น และเป็นผลแทรกซ้อนที่สามารถแก้ไขได้ หลังการตรวจรักษาด้วยวิธีนี้ หากไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ท่านจะอยู่โรงพยาบาลต่ออีก 1 - 2 วัน ก็สามารถกลับบ้านได้

 

 

หมายเลขบันทึก: 367523เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2010 22:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 14:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท