จู่ๆก็มีโทรศัพท์มาหาในเวลา ๕ ทุ่มของวันหยุดแรกของสัปดาห์ แต่มารู้ว่ามีคนโทรเข้ามาก็รุ่งเช้าแล้ว เห็นเวลาที่โทรก็นึกว่าคนโทรมีเรื่องด่วนที่ต้องการความช่วยเหลือ เจ้าของเบอร์นี้ไม่เคยโทรหาในเวลาดึกอย่างที่ปรากฏแก่ตามาก่อน ก่อนเที่ยงวันนี้ก็ใช้เวลาด้วยกันค่อนวันแล้ว โทรมาอีกจะให้เข้าใจอย่างอื่นได้ยังไง
โทรกลับไปคุยกับเจ้าของเบอร์โทรหลังจากได้รับรู้ไม่นาน เจ้าของเบอร์รับสายทันทีอย่างคนที่มีใจจดใจจ่อรออยู่ เมื่อถามกลับไปว่า "โทรมาเหรอ มีอะไรเหรอ" เสียงที่ตอบรับมาก็เล่าฉอดๆ "หนูโทรมาเพราะมีเรื่องร้อนใจ เมื่อคืนมีเรื่องทะเลาะกับน้องสาว" แล้วเธอก็เล่าเรื่องโดยสังเขปให้ฟัง
ฟังเรื่องที่เล่าแล้วแปลกใจ อืม เรื่องแค่นี้อ่ะที่ทำให้โทรมาปรึกษาตอนดึก ฟังเงียบๆจนเธอพูดจบ ก็นึกขึ้นได้ว่า ตัวเองกำลังตัดสิน รีบแขวนคำตัดสินไว้ รู้ตัวแล้วก็หยุดคิด หยุดการตัดสินเธอ นิ่งฟังต่อ
จับกระแสความสับสนที่แฝงอยู่ในสำเนียงพูดของเธอได้ ฉันคิดว่าไม่ควรปฏิเสธการไปพบเธอ เมื่อเธอหลุดคำพูดว่า "หมอว่างไหม หนูได้เรื่องของเมื่อวานตอนเช้าที่ก้าวหน้าขึ้น อยากจะให้ช่วยดู" ฉันจึงแบ่งรับแบ่งสู้ว่า หากเคลียร์ตัวเองได้ก็จะไปเจอเธอ
แต่วันนี้ฉันรับปากกับลูกสาวว่าจะทำกับข้าวกันเองแบบครอบครัวร่วมด้วยช่วยกัน ไม่อยากออกไปกินนอกบ้านนี่ซิ คิดเร็วตัดสินใจเร็วบอกเธอไปตรงๆว่าเช้านี้มีนัดทำอะไร เธอจึงบอกกล่าวอย่างง่ายๆว่า เวลาตั้งแต่บ่าย ๒ โมงเธอจะอยู่ที่ไหน เวลาไหนของหลังบ่ายหากฉันว่างก็ขอให้มาพบกัน
หลังโทรศัพท์ก็พาตัวไปซื้อของสดที่ตลาดตามเมนูที่ลูกสาว ลูกชายคิดไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืน ระหว่างแวะซื้ออาหารเช้าให้ลูกสาว อุ๊ยก็โทรมาคุยเรื่องงานเข้า คุยกันตั้งแต่อยู่ที่ร้านอาหารเช้าจนมาถึงบ้าน ลูกสาวกินอาหารเช้าเรียบวุธไปแล้วพักใหญ่
ระหว่างลงมือทำกับข้าว ลูกสาวถามว่า "พ่อรู้หรือยังว่าวันนี้ทำกับข้าวกินเอง" ฉันตอบไปว่า "ไม่รู้มั๊ง พ่อไปบ้านป้าก่อนแม่ไปตลาดตั้งนาน" ลูกสาวโทรบอกพ่อแล้วก็พาตัวไปเล่นคอมฯ สักครู่ก็เดินไปเดินมาเพื่อถามว่า แม่มีอะไรให้ช่วยบ้าง ได้ลงมือช่วยนิดหน่อย เธอก็พอใจ แล้วก็กลับไปง่วนกับการคุยกับเพื่อน เสียงคุยหยุดไปตอนไหนไม่รู้ สักครู่ก็พาตัวมานั่งดูทีวีอยู่ใกล้ๆคอยให้เรียกเป็นลูกมือ
กับข้าวยังไม่ทันเสร็จ คุณสามีก็กลับถึงบ้าน กับข้าวเสร็จก็กินข้าวด้วยกัน ๓ คนพ่อแม่ลูก อิ่มแล้วลูกสาวช่วยล้างจาน จัดการกับเศษอาหาร มื้อนี้ลูกชายนัดว่าจะกลับมากินข้าวบ้านด้วยแต่ไม่โผล่หน้ามา คงขี้เกียจรีบและร้อน ไป-มากลางแดดเปรี้ยงจึงไม่กลับมาจากที่เรียน
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ต่างคนต่างก็ใช้เวลาอยู่กับเรื่องที่ตัวเองสนใจ ฉันเองตั้งใจว่าช่วงเย็นๆหน่อยจะแวะไปหาสาวน้อยที่โทรมา
แล้วก็เกือบลืม เกือบลืมเพราะดูทีวีแล้วหลับผลอยไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นอีกทีก็เลยบ่ายสามไปแล้ว
เมื่อพาตัวออกไปพบเธอ ปรากฏว่าเธอนัดหมายคนอื่นให้ออกมาคุยกันด้วย แล้วเธอก็ให้ฉันดูเอกสารที่เป็นเงาร่างของความคิดบางอย่าง สักครู่ผู้คนที่เธอนัดหมายก็มาพร้อมกัน ระหว่างนั่งคุยกันก็รับรู้ว่าเธอมีความเครียดสูงมากจนทำให้เธอสับสนกับจุดยืนของตัวเองที่พาตัวเข้าไปเกี่ยวกับธุรกิจชิ้นหนึ่ง
จุดเอ๊ะว่าเธอเครียดสูงก็เห็นจะเป็นตรงที่เธอรับปากจะทำธุรกิจแบบนอมินีให้กับคนอื่นที่เธอเพิ่งรู้จักแค่หน้าและชื่อ แถมยังเคยคุยด้วยกันเพียงแค่ครั้งเดียว (ตอนรับปากเป็นนอมินี เจอกันเป็นครั้งที่ ๒) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ในหลายคนที่เธอนัดหมายมาคุยด้วยมีคนที่ได้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนตามน้ำไม่ต้องเสี่ยงอะไรด้วยกับการเป็นนอมินีของเธอ คนนี้ก็เป็นคนที่เพิ่งรู้จักเพียงไม่กี่ครั้งและเธอรู้แค่ว่าคนนี้ทำงานที่ไหนเช่นกัน
สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ขนลุก เป็นไปได้ยังไงนี่ คนที่เครียดจัดทิ้งสติของตัวไปง่ายดายยังงี้เชียวเรอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย
โชคดีหน่อยที่คนอีก ๒ คนที่มาร่วมคุยด้วยเป็นคนที่ปรารถนาดีกับเธอและมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนในเรื่องของธุรกิจดังกล่าว จึงสามารถช่วยกันดึงเธอให้ออกมาพบกับความจริงของการตัดสินใจของเธอ เมื่อภาพของนอมินีปรากฏชัดขึ้น เธอก็หลุดปากมาให้รู้ว่า เธอก็ไม่รู้ว่าเผลอไปรับปากจะเป็นนอมินีได้ยังไง
เป็นเรื่องจริงนะกับคำกล่าวที่ว่า "สติมาปัญญาเกิด" เมื่อเธอรู้ชัดถึงตำแหน่งงานที่เธอกำลังจะรับปาก เธอก็หลุดปากบอกชัดๆว่า "หนูไม่อยากทำงานชิ้นนี้แล้ว"
เมื่อคำนี้หลุดออกมาจากปาก อย่างน้อย ๓ คนที่นั่งร่วมอยู่ด้วยก็ได้บอกเธอว่า "ยังไม่สายที่เธอจะกลับไปคุยกับเจ้าของชิ้นงาน บอกให้เข้าใจว่าเธอจะรับงานลึกแค่ไหน" แล้ววงสนทนาก็สลายตัว
ก่อนจะแยกจากกัน เธอก็ชวนฉันว่า "หมอมีเวลาไหม หนูขอเวลาคุยด้วยเรื่องนั้น" ซึ่งฉันก็ให้เวลากับเธอ
เราคุยกันตั้งแต่ ๖ โมงเย็นยัน ๓ ทุ่ม คำแรกที่เริ่มคุยกันเธอถามว่า "หากหนูจะไปทำงานที่ภูเก็ตไม่กลับบ้านเลย หมอว่าจะดีไหม" เจอคำถามนี้ฉันอึ้งค่ะ ตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ก่อนบอกเธอกลับไปว่า "ดีหรือไม่ดี คนตอบคือหนูเอง" บอกแล้วก็ชวนเธอคุยไปเรื่อยค่ะ ตั้งคำถามบ้างแลกเปลี่ยนบ้าง
เมื่อเธอวกมาเรื่องอยากไปจากครอบครัวและตัดสินใจแล้วที่จะไปจากครอบครัว บางคำพูดก็อ้างถึงการกระทำของพี่ชายที่ทำให้เห็นมาก่อน บางคำพูดก็เอ่ยถึงบุพการีว่าเหตุการณ์อย่างที่เธอเจอในครัวเรือนนี่แหละคือต้นตอที่ทำให้บุพการีเกิดความเครียด และขณะนี้มันกำลังเกิดขึ้นกับเธอ
เธอเล่าความรู้สึกที่ทำให้เธอตัดสินใจจะตัดขาดจากครอบครัวว่า "ไม่เข้าใจว่าทำไมคนในครอบครัวแม้กระทั่งหลานตัวเล็กจึงก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวของหนูอย่างไม่เกรงใจ หลานตัวเล็กๆกล้าตำหนิหนู ด่าหนู ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องทุกอย่างที่พี่น้องต้องการให้พาไปไหนๆจึงมีแต่หนูที่ถูกเรียกหาอยู่เรื่อยไป ไม่สนองก็โดนว่า โดนบ่นทุกครั้งไป ทำไมใครๆจึงเห็นเป็นว่าหนูว่าง หนูก็มีงานของหนูที่ต้องทำ ทำไมคนอื่นเขาเอาแต่ก่นว่าตัวเองไม่ว่าง แต่จะให้หนูว่างแบ่งเวลาให้ทั้งๆที่แท้จริงหนูมีงานต้องทำ หนูก็ต้องทำงาน ทำไมไม่มีใครเห็น"
เมื่อฉันชวนให้เธอหันมาถามใจของตัวเองให้ถ่องแท้หลังได้คุยกันไปเนิ่นนานว่าตอบตัวเองให้ตรงใจหน่อย "แน่ใจว่าตัดขาดจากครอบครัวได้อย่างที่ปากพูดหรือเปล่า" มีบางช่วงที่เธออึ้งค่ะ และมีบางช่วงที่เธอพูดถึงการตัดสินใจที่คนอื่นให้คำแนะนำไว้กับเธอ หรือออกความเห็นต่อพฤติกรรมที่เธอทำ
เธอบอกว่า เพื่อนๆมักจะบอกเธอว่า "ไม่เคยเห็นใครเหมือนเธอสักคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากเท่าเธอ ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่ครอบครัวแจ้งความประสงค์มายังเธอ เธอจึงทำให้ทุกครั้งไป เสียงานอย่างไรก็ทำให้ทันที เช่น พี่สาวโทรมาบอกว่าน้าไม่สบาย ให้กลับบ้านด่วนเย็นนี้ เธอก็ลางานกลับไปทันที ทั้งๆที่เจ้านายมีงานสำคัญมอบให้ทำและค้างอยู่ หรือมีโทรศัพท์จากน้องสาวเข้ามาระหว่างเธอติดต่องานระดับเงินล้านอยู่กับลูกค้าสำคัญ แทนที่เธอจะไม่รับสาย เธอก็รับทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องที่โทรมาไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย ก็แค่อยากรู้ว่าเธอทำอะไรอยู่
เวลาคุยที่เนิ่นนานถึง ๓ ชั่วโมงยุติลงเพราะเธอเหลือบไปเห็นเวลา เห็นรอบตัวว่ามืดสนิทแล้ว ฉันก็ไม่ได้สังเกตว่ารอบตัวมืดสนิทแล้ว
ฉันชวนเธอคุยเรื่องชีวิตต้องมีลำดับความสำคัญของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง แล้วชีวิตของเธอมีการลำดับความสำคัญอย่างไรบ้าง ก่อนจับเรื่อง ๒ เรื่องมาสัมพัทธ์กันเพื่อให้เธอเห็นน้ำหนักข้างที่เลือก แล้วถามเธอว่าหากต้องเลือกเพียงหนึ่งเธอจะเลือกอะไร
เรื่องที่นำมาสัมพัทธ์กันให้เธอจัดความสำคัญเป็น "งาน" กับ "ครอบครัว (รวมหมดพ่อแม่พี่น้องญาติ)" แล้วบอกให้เธอจับ ๒ เรื่องขึ้นตาชั่ง เธอจะให้ข้างไหนหนักกว่า แล้วก็ชวนเธอคุยต่อเรื่องการเลือก "การดูแลตัวเองให้อยู่รอดด้วยการงานทิ้งครอบครัว" กับ "การให้ครอบครัวแต่งานไม่รอด" เธอแน่ใจว่าสิ่งที่เธอเลือกเป็นความรู้สึกจริงๆในใจอย่างไร
ระหว่างที่คุยกันอย่างนี้ สัมผัสว่ามีหลายครั้งที่เธออึ้ง หลังอึ้งก็มีพฤติกรรมเบนความสนใจด้วยคำพูดหลายแบบ "หนูตัดสินใจไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวแล้วเพราะทนไม่ได้แล้ว" หรือไม่ก็เล่าว่า "เพื่อนเคยให้ความเห็นว่า.....เคยเห็นพี่ชายเขาทำอย่างนี้แล้วทำได้....."
เมื่อเรื่องราววนไปวนมาอยู่ในทำนองนี้ ฉันจึงตัดสินใจใช้ไม้นี้ค่ะ "ไม่เอาคำตัดสินใจของคนอื่นมาตอบ ให้หนูนะแหละตอบออกมาให้ชัดกับตัวเองว่า หนูตัดครอบครัวขาดได้จริงๆ เมื่อหนูไปจากที่นี่แล้วครอบครัวติดต่อหรือไปหาหนู หนูก็จะไม่ตอบสนองอะไร หนูจะไม่รู้สึกอย่างไรที่จะตอบสนอง หนูมั่นใจว่าหนูจะทำอย่างนั้นนะ" ซึ่งเธอก็เบนเรื่องคุยไปเรื่องอื่นอีกนะแหละ
ฉันย้ำคำถามนี้หลายครั้ง ทุกครั้งเธอไม่ตอบเป็นเสียงให้ได้ยิน แต่ตอบให้รู้ว่าได้สติด้วยการ "อึ้ง" ฉันย้ำถามชวนให้เธอตอบจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงคุยที่เบนเข็มไปเรื่องอื่น ฉันจึงเปลี่ยนเรื่อง
แล้วเราก็คุยกันต่อในเรื่องของวิธีการวางแผนชีวิต การมองอีกมุมก่อนตัดสินเรื่องราว (แขวนคำตัดสิน)
การสนทนาที่ไม่เร่งรัดของค่ำคืนนี้ในช่วงของการเดินไปพร้อมกันกับการวางแผนชีวิตทีละขั้นของเธอ พร้อมป้อนคำถามที่กวนให้ใคร่ครวญ ได้ช่วยคลี่ภาพชีวิตบางตอนของเธอออกมาให้เธอเห็นชัดขึ้น แล้วสติเธอก็เริ่มคืนมา
ก่อนจากกันฉันว่าเธอได้ข้อตัดสินใจบางอย่างกลับไปใคร่ครวญเพื่อตัดสินใจแล้วค่ะ
กลับมาถึงบ้านลูกสาวก็ถามว่า "แม่หายไปไหนมา" เมื่อตอบเธอว่า "แม่ออกไปคุยมา มีคนที่มีปัญหาหัวใจเขาขอปรึกษาแม่" ก็แว่วเสียงของเธอดังมาว่า "แม่นี่ทำอะไรตั้งหลายอย่างเลยนะ" ฉันตอบเธอไปว่า "ช่วยให้คนสบายใจได้แม่ก็ช่วย ได้บุญนะลูกช่วยคน"
ขอถอดบทเรียนไว้หน่อยกับเรื่องด่วนเรื่องนี้ :
ด่วนไม่ด่วนอยู่ที่ใจคน
สั้นยาวก็ใจคน
เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ใจคน
สงบรำงับมีสติมีดี
คุยแบบตามทัน-รู้
อะไรพาไขว้เขวให้แขวน
ไม่เทไม่ใส่ใจสนใจ
สติก็มาหาเร็ว
ปัญญาพาห่างเหวออกมา
ชีวิตชีวาได้สงบเพิ่ม
สติเสริมเติมความคิด
ขุ่นมากขุ่นน้อยปลดปล่อยไป
ก่อนจบบันทึก ชวนให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านช่วยค้นหาคำตอบหน่อยว่า "ในเรื่องเล่านี้ มีเรื่องของความรุนแรงในครอบครัวอยู่บ้างมั๊ยค่ะ"
ด่วนไม่ด่วนอยู่ที่ใจคน
สั้นยาวก็ใจคน
เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ใจคน
สงบรำงับมีสติมีดี
คุยแบบตามทัน-รู้
อะไรพาไขว้เขวให้แขวน
สวัสดีครับ แวะมาเยี่ยม มาอ่าน และ มาน้อมรับบทเรียนครับ
"ไม่เทไม่ใส่ใจสนใจ
สติก็มาหาเร็ว
ปัญญาพาห่างเหวออกมา
ชีวิตชีวาได้สงบเพิ่ม
สติเสริมเติมความคิด
ขุ่นมากขุ่นน้อยปลดปล่อยไป"
ขอบพระคุณมากครับ...
เป็นการทำบุญกับคนที่เครียดจะได้บุญกุศลมากนะคะ
สบายดีไหมคะ
ปูอ่านแล้วงงๆ กับมุมความคิดเธอค่ะพี่หมอ .. ทำไมต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึง ในเมื่อทั้งสองสิ่ง คือส่วนประกอบที่สำคัญ เป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่จะตัดครอบครัว ซึ่งเป็นฐานที่สำคัญสุด
ถ้าพบกันครึ่งทางล่ะคะ เหมือนที่พี่หมอเคยบอกว่า ถ้าเรามีสติ รู้ปัญหา จัดลำดับสำคัญได้ เราก็สามารถจัดการกับทราบว่า เราจะตัดสินใจเลือกแนวทางใด เพื่อผลลัพธ์ที่เราสบายใจที่สุด ขอบคุณค่ะ