หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

เรื่องด่วนของสาวน้อย


ด่วนไม่ด่วน อยู่ที่ใจคน สั้นยาวก็ใจคน เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ก็ใจคน สงบรำงับมีสติ มีดี คุยแบบตาม ทัน-รู้ อะไรพาไขว้เขว ให้แขวน ไม่เทไม่ใส่ใจ สนใจ สติก็มาหาเร็ว ปัญญาพาห่าง เหวออกมา ชีวิตชีวาได้ สงบเพิ่ม สติเสริมเติม ความคิด ขุ่นมากขุ่น น้อยปลดปล่อยไป

จู่ๆก็มีโทรศัพท์มาหาในเวลา ๕ ทุ่มของวันหยุดแรกของสัปดาห์ แต่มารู้ว่ามีคนโทรเข้ามาก็รุ่งเช้าแล้ว เห็นเวลาที่โทรก็นึกว่าคนโทรมีเรื่องด่วนที่ต้องการความช่วยเหลือ เจ้าของเบอร์นี้ไม่เคยโทรหาในเวลาดึกอย่างที่ปรากฏแก่ตามาก่อน ก่อนเที่ยงวันนี้ก็ใช้เวลาด้วยกันค่อนวันแล้ว โทรมาอีกจะให้เข้าใจอย่างอื่นได้ยังไง

โทรกลับไปคุยกับเจ้าของเบอร์โทรหลังจากได้รับรู้ไม่นาน เจ้าของเบอร์รับสายทันทีอย่างคนที่มีใจจดใจจ่อรออยู่ เมื่อถามกลับไปว่า "โทรมาเหรอ มีอะไรเหรอ" เสียงที่ตอบรับมาก็เล่าฉอดๆ "หนูโทรมาเพราะมีเรื่องร้อนใจ เมื่อคืนมีเรื่องทะเลาะกับน้องสาว" แล้วเธอก็เล่าเรื่องโดยสังเขปให้ฟัง

ฟังเรื่องที่เล่าแล้วแปลกใจ อืม เรื่องแค่นี้อ่ะที่ทำให้โทรมาปรึกษาตอนดึก ฟังเงียบๆจนเธอพูดจบ ก็นึกขึ้นได้ว่า ตัวเองกำลังตัดสิน รีบแขวนคำตัดสินไว้ รู้ตัวแล้วก็หยุดคิด หยุดการตัดสินเธอ นิ่งฟังต่อ

จับกระแสความสับสนที่แฝงอยู่ในสำเนียงพูดของเธอได้ ฉันคิดว่าไม่ควรปฏิเสธการไปพบเธอ เมื่อเธอหลุดคำพูดว่า "หมอว่างไหม หนูได้เรื่องของเมื่อวานตอนเช้าที่ก้าวหน้าขึ้น อยากจะให้ช่วยดู" ฉันจึงแบ่งรับแบ่งสู้ว่า หากเคลียร์ตัวเองได้ก็จะไปเจอเธอ

แต่วันนี้ฉันรับปากกับลูกสาวว่าจะทำกับข้าวกันเองแบบครอบครัวร่วมด้วยช่วยกัน ไม่อยากออกไปกินนอกบ้านนี่ซิ คิดเร็วตัดสินใจเร็วบอกเธอไปตรงๆว่าเช้านี้มีนัดทำอะไร เธอจึงบอกกล่าวอย่างง่ายๆว่า เวลาตั้งแต่บ่าย ๒ โมงเธอจะอยู่ที่ไหน เวลาไหนของหลังบ่ายหากฉันว่างก็ขอให้มาพบกัน

หลังโทรศัพท์ก็พาตัวไปซื้อของสดที่ตลาดตามเมนูที่ลูกสาว ลูกชายคิดไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืน ระหว่างแวะซื้ออาหารเช้าให้ลูกสาว อุ๊ยก็โทรมาคุยเรื่องงานเข้า คุยกันตั้งแต่อยู่ที่ร้านอาหารเช้าจนมาถึงบ้าน ลูกสาวกินอาหารเช้าเรียบวุธไปแล้วพักใหญ่

ระหว่างลงมือทำกับข้าว ลูกสาวถามว่า "พ่อรู้หรือยังว่าวันนี้ทำกับข้าวกินเอง" ฉันตอบไปว่า "ไม่รู้มั๊ง พ่อไปบ้านป้าก่อนแม่ไปตลาดตั้งนาน" ลูกสาวโทรบอกพ่อแล้วก็พาตัวไปเล่นคอมฯ สักครู่ก็เดินไปเดินมาเพื่อถามว่า แม่มีอะไรให้ช่วยบ้าง ได้ลงมือช่วยนิดหน่อย เธอก็พอใจ แล้วก็กลับไปง่วนกับการคุยกับเพื่อน เสียงคุยหยุดไปตอนไหนไม่รู้ สักครู่ก็พาตัวมานั่งดูทีวีอยู่ใกล้ๆคอยให้เรียกเป็นลูกมือ

กับข้าวยังไม่ทันเสร็จ คุณสามีก็กลับถึงบ้าน กับข้าวเสร็จก็กินข้าวด้วยกัน ๓ คนพ่อแม่ลูก อิ่มแล้วลูกสาวช่วยล้างจาน จัดการกับเศษอาหาร มื้อนี้ลูกชายนัดว่าจะกลับมากินข้าวบ้านด้วยแต่ไม่โผล่หน้ามา คงขี้เกียจรีบและร้อน ไป-มากลางแดดเปรี้ยงจึงไม่กลับมาจากที่เรียน

หลังจากอิ่มท้องแล้ว ต่างคนต่างก็ใช้เวลาอยู่กับเรื่องที่ตัวเองสนใจ ฉันเองตั้งใจว่าช่วงเย็นๆหน่อยจะแวะไปหาสาวน้อยที่โทรมา

แล้วก็เกือบลืม เกือบลืมเพราะดูทีวีแล้วหลับผลอยไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นอีกทีก็เลยบ่ายสามไปแล้ว

เมื่อพาตัวออกไปพบเธอ ปรากฏว่าเธอนัดหมายคนอื่นให้ออกมาคุยกันด้วย แล้วเธอก็ให้ฉันดูเอกสารที่เป็นเงาร่างของความคิดบางอย่าง สักครู่ผู้คนที่เธอนัดหมายก็มาพร้อมกัน ระหว่างนั่งคุยกันก็รับรู้ว่าเธอมีความเครียดสูงมากจนทำให้เธอสับสนกับจุดยืนของตัวเองที่พาตัวเข้าไปเกี่ยวกับธุรกิจชิ้นหนึ่ง

จุดเอ๊ะว่าเธอเครียดสูงก็เห็นจะเป็นตรงที่เธอรับปากจะทำธุรกิจแบบนอมินีให้กับคนอื่นที่เธอเพิ่งรู้จักแค่หน้าและชื่อ แถมยังเคยคุยด้วยกันเพียงแค่ครั้งเดียว (ตอนรับปากเป็นนอมินี เจอกันเป็นครั้งที่ ๒) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

ในหลายคนที่เธอนัดหมายมาคุยด้วยมีคนที่ได้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนตามน้ำไม่ต้องเสี่ยงอะไรด้วยกับการเป็นนอมินีของเธอ คนนี้ก็เป็นคนที่เพิ่งรู้จักเพียงไม่กี่ครั้งและเธอรู้แค่ว่าคนนี้ทำงานที่ไหนเช่นกัน

สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ขนลุก เป็นไปได้ยังไงนี่ คนที่เครียดจัดทิ้งสติของตัวไปง่ายดายยังงี้เชียวเรอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย

โชคดีหน่อยที่คนอีก ๒ คนที่มาร่วมคุยด้วยเป็นคนที่ปรารถนาดีกับเธอและมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนในเรื่องของธุรกิจดังกล่าว จึงสามารถช่วยกันดึงเธอให้ออกมาพบกับความจริงของการตัดสินใจของเธอ เมื่อภาพของนอมินีปรากฏชัดขึ้น เธอก็หลุดปากมาให้รู้ว่า เธอก็ไม่รู้ว่าเผลอไปรับปากจะเป็นนอมินีได้ยังไง

เป็นเรื่องจริงนะกับคำกล่าวที่ว่า "สติมาปัญญาเกิด" เมื่อเธอรู้ชัดถึงตำแหน่งงานที่เธอกำลังจะรับปาก เธอก็หลุดปากบอกชัดๆว่า "หนูไม่อยากทำงานชิ้นนี้แล้ว"

เมื่อคำนี้หลุดออกมาจากปาก อย่างน้อย ๓ คนที่นั่งร่วมอยู่ด้วยก็ได้บอกเธอว่า "ยังไม่สายที่เธอจะกลับไปคุยกับเจ้าของชิ้นงาน บอกให้เข้าใจว่าเธอจะรับงานลึกแค่ไหน" แล้ววงสนทนาก็สลายตัว

ก่อนจะแยกจากกัน เธอก็ชวนฉันว่า "หมอมีเวลาไหม หนูขอเวลาคุยด้วยเรื่องนั้น" ซึ่งฉันก็ให้เวลากับเธอ

เราคุยกันตั้งแต่ ๖ โมงเย็นยัน ๓ ทุ่ม คำแรกที่เริ่มคุยกันเธอถามว่า "หากหนูจะไปทำงานที่ภูเก็ตไม่กลับบ้านเลย หมอว่าจะดีไหม" เจอคำถามนี้ฉันอึ้งค่ะ ตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ก่อนบอกเธอกลับไปว่า "ดีหรือไม่ดี คนตอบคือหนูเอง" บอกแล้วก็ชวนเธอคุยไปเรื่อยค่ะ ตั้งคำถามบ้างแลกเปลี่ยนบ้าง

เมื่อเธอวกมาเรื่องอยากไปจากครอบครัวและตัดสินใจแล้วที่จะไปจากครอบครัว บางคำพูดก็อ้างถึงการกระทำของพี่ชายที่ทำให้เห็นมาก่อน บางคำพูดก็เอ่ยถึงบุพการีว่าเหตุการณ์อย่างที่เธอเจอในครัวเรือนนี่แหละคือต้นตอที่ทำให้บุพการีเกิดความเครียด และขณะนี้มันกำลังเกิดขึ้นกับเธอ

เธอเล่าความรู้สึกที่ทำให้เธอตัดสินใจจะตัดขาดจากครอบครัวว่า "ไม่เข้าใจว่าทำไมคนในครอบครัวแม้กระทั่งหลานตัวเล็กจึงก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวของหนูอย่างไม่เกรงใจ หลานตัวเล็กๆกล้าตำหนิหนู ด่าหนู ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องทุกอย่างที่พี่น้องต้องการให้พาไปไหนๆจึงมีแต่หนูที่ถูกเรียกหาอยู่เรื่อยไป ไม่สนองก็โดนว่า โดนบ่นทุกครั้งไป ทำไมใครๆจึงเห็นเป็นว่าหนูว่าง หนูก็มีงานของหนูที่ต้องทำ ทำไมคนอื่นเขาเอาแต่ก่นว่าตัวเองไม่ว่าง แต่จะให้หนูว่างแบ่งเวลาให้ทั้งๆที่แท้จริงหนูมีงานต้องทำ หนูก็ต้องทำงาน ทำไมไม่มีใครเห็น"

เมื่อฉันชวนให้เธอหันมาถามใจของตัวเองให้ถ่องแท้หลังได้คุยกันไปเนิ่นนานว่าตอบตัวเองให้ตรงใจหน่อย "แน่ใจว่าตัดขาดจากครอบครัวได้อย่างที่ปากพูดหรือเปล่า" มีบางช่วงที่เธออึ้งค่ะ และมีบางช่วงที่เธอพูดถึงการตัดสินใจที่คนอื่นให้คำแนะนำไว้กับเธอ หรือออกความเห็นต่อพฤติกรรมที่เธอทำ

เธอบอกว่า เพื่อนๆมักจะบอกเธอว่า "ไม่เคยเห็นใครเหมือนเธอสักคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากเท่าเธอ ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่ครอบครัวแจ้งความประสงค์มายังเธอ เธอจึงทำให้ทุกครั้งไป เสียงานอย่างไรก็ทำให้ทันที เช่น พี่สาวโทรมาบอกว่าน้าไม่สบาย ให้กลับบ้านด่วนเย็นนี้ เธอก็ลางานกลับไปทันที ทั้งๆที่เจ้านายมีงานสำคัญมอบให้ทำและค้างอยู่ หรือมีโทรศัพท์จากน้องสาวเข้ามาระหว่างเธอติดต่องานระดับเงินล้านอยู่กับลูกค้าสำคัญ แทนที่เธอจะไม่รับสาย เธอก็รับทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องที่โทรมาไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย ก็แค่อยากรู้ว่าเธอทำอะไรอยู่

เวลาคุยที่เนิ่นนานถึง ๓ ชั่วโมงยุติลงเพราะเธอเหลือบไปเห็นเวลา เห็นรอบตัวว่ามืดสนิทแล้ว ฉันก็ไม่ได้สังเกตว่ารอบตัวมืดสนิทแล้ว

ฉันชวนเธอคุยเรื่องชีวิตต้องมีลำดับความสำคัญของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง แล้วชีวิตของเธอมีการลำดับความสำคัญอย่างไรบ้าง ก่อนจับเรื่อง ๒ เรื่องมาสัมพัทธ์กันเพื่อให้เธอเห็นน้ำหนักข้างที่เลือก แล้วถามเธอว่าหากต้องเลือกเพียงหนึ่งเธอจะเลือกอะไร

เรื่องที่นำมาสัมพัทธ์กันให้เธอจัดความสำคัญเป็น "งาน" กับ "ครอบครัว (รวมหมดพ่อแม่พี่น้องญาติ)" แล้วบอกให้เธอจับ ๒ เรื่องขึ้นตาชั่ง เธอจะให้ข้างไหนหนักกว่า แล้วก็ชวนเธอคุยต่อเรื่องการเลือก "การดูแลตัวเองให้อยู่รอดด้วยการงานทิ้งครอบครัว" กับ "การให้ครอบครัวแต่งานไม่รอด" เธอแน่ใจว่าสิ่งที่เธอเลือกเป็นความรู้สึกจริงๆในใจอย่างไร

ระหว่างที่คุยกันอย่างนี้ สัมผัสว่ามีหลายครั้งที่เธออึ้ง หลังอึ้งก็มีพฤติกรรมเบนความสนใจด้วยคำพูดหลายแบบ "หนูตัดสินใจไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวแล้วเพราะทนไม่ได้แล้ว" หรือไม่ก็เล่าว่า "เพื่อนเคยให้ความเห็นว่า.....เคยเห็นพี่ชายเขาทำอย่างนี้แล้วทำได้....."

เมื่อเรื่องราววนไปวนมาอยู่ในทำนองนี้ ฉันจึงตัดสินใจใช้ไม้นี้ค่ะ "ไม่เอาคำตัดสินใจของคนอื่นมาตอบ ให้หนูนะแหละตอบออกมาให้ชัดกับตัวเองว่า หนูตัดครอบครัวขาดได้จริงๆ เมื่อหนูไปจากที่นี่แล้วครอบครัวติดต่อหรือไปหาหนู หนูก็จะไม่ตอบสนองอะไร หนูจะไม่รู้สึกอย่างไรที่จะตอบสนอง หนูมั่นใจว่าหนูจะทำอย่างนั้นนะ" ซึ่งเธอก็เบนเรื่องคุยไปเรื่องอื่นอีกนะแหละ

ฉันย้ำคำถามนี้หลายครั้ง ทุกครั้งเธอไม่ตอบเป็นเสียงให้ได้ยิน แต่ตอบให้รู้ว่าได้สติด้วยการ "อึ้ง" ฉันย้ำถามชวนให้เธอตอบจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงคุยที่เบนเข็มไปเรื่องอื่น ฉันจึงเปลี่ยนเรื่อง

แล้วเราก็คุยกันต่อในเรื่องของวิธีการวางแผนชีวิต การมองอีกมุมก่อนตัดสินเรื่องราว (แขวนคำตัดสิน)

การสนทนาที่ไม่เร่งรัดของค่ำคืนนี้ในช่วงของการเดินไปพร้อมกันกับการวางแผนชีวิตทีละขั้นของเธอ พร้อมป้อนคำถามที่กวนให้ใคร่ครวญ ได้ช่วยคลี่ภาพชีวิตบางตอนของเธอออกมาให้เธอเห็นชัดขึ้น แล้วสติเธอก็เริ่มคืนมา

ก่อนจากกันฉันว่าเธอได้ข้อตัดสินใจบางอย่างกลับไปใคร่ครวญเพื่อตัดสินใจแล้วค่ะ

กลับมาถึงบ้านลูกสาวก็ถามว่า "แม่หายไปไหนมา" เมื่อตอบเธอว่า "แม่ออกไปคุยมา มีคนที่มีปัญหาหัวใจเขาขอปรึกษาแม่" ก็แว่วเสียงของเธอดังมาว่า "แม่นี่ทำอะไรตั้งหลายอย่างเลยนะ" ฉันตอบเธอไปว่า "ช่วยให้คนสบายใจได้แม่ก็ช่วย ได้บุญนะลูกช่วยคน"

ขอถอดบทเรียนไว้หน่อยกับเรื่องด่วนเรื่องนี้ :

ด่วนไม่ด่วนอยู่ที่ใจคน

สั้นยาวก็ใจคน

เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ใจคน

สงบรำงับมีสติมีดี

คุยแบบตามทัน-รู้

อะไรพาไขว้เขวให้แขวน

ไม่เทไม่ใส่ใจสนใจ

สติก็มาหาเร็ว

ปัญญาพาห่างเหวออกมา

ชีวิตชีวาได้สงบเพิ่ม

สติเสริมเติมความคิด

ขุ่นมากขุ่นน้อยปลดปล่อยไป

ก่อนจบบันทึก ชวนให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านช่วยค้นหาคำตอบหน่อยว่า "ในเรื่องเล่านี้ มีเรื่องของความรุนแรงในครอบครัวอยู่บ้างมั๊ยค่ะ"

หมายเลขบันทึก: 363311เขียนเมื่อ 2 มิถุนายน 2010 22:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ด่วนไม่ด่วนอยู่ที่ใจคน

สั้นยาวก็ใจคน

เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ใจคน

สงบรำงับมีสติมีดี

คุยแบบตามทัน-รู้

อะไรพาไขว้เขวให้แขวน

สวัสดีครับ แวะมาเยี่ยม มาอ่าน และ มาน้อมรับบทเรียนครับ

"ไม่เทไม่ใส่ใจสนใจ

สติก็มาหาเร็ว

ปัญญาพาห่างเหวออกมา

ชีวิตชีวาได้สงบเพิ่ม

สติเสริมเติมความคิด

ขุ่นมากขุ่นน้อยปลดปล่อยไป"

ขอบพระคุณมากครับ...

เป็นการทำบุญกับคนที่เครียดจะได้บุญกุศลมากนะคะ

สบายดีไหมคะ

  • สวัสดีค่ะ
  • ในฐานะของผู้ให้บริการ เราต้องให้ในสิ่งที่นอกเหนือหน้าที่อยู่เสมอ  เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดกับผู้รับบริการ ขอแสดงความชื่นชมกับการทำงานด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
  • ขอบคุณค่ะ

                           

  • คุณ แก้ว..อุบล จ๋วงพานิชค่ะ
  • ความเครียดเป็นเรื่องราว
  • ที่เกิดจากความเป็นมนุษย์
  • .....
  • เข้าใจความเป็นมนุษย์
  • ก็ช่วยเยียวยาผู้คนได้เนอะค่ะ
  • น้อง บุษราค่ะ
  • รีบยื่นมือรับคำชม
  • ในทันทีที่
  • อ่านจบ....อิอิ
  • .........
  • ขอบคุณที่มาเติมพลังชีวิตให้กันค่ะ

ปูอ่านแล้วงงๆ กับมุมความคิดเธอค่ะพี่หมอ .. ทำไมต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึง ในเมื่อทั้งสองสิ่ง คือส่วนประกอบที่สำคัญ เป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่จะตัดครอบครัว ซึ่งเป็นฐานที่สำคัญสุด

ถ้าพบกันครึ่งทางล่ะคะ เหมือนที่พี่หมอเคยบอกว่า ถ้าเรามีสติ รู้ปัญหา จัดลำดับสำคัญได้ เราก็สามารถจัดการกับทราบว่า เราจะตัดสินใจเลือกแนวทางใด เพื่อผลลัพธ์ที่เราสบายใจที่สุด ขอบคุณค่ะ

  • น้อง poo ค่ะ
  • ในเวลาที่คนอยู่ในความสับสน
  • จำเป็นที่คนควรผ่าน
  • การกลั่นกรองความคิด
  • ทีละขั้นทีละตอน
  • เพื่อให้สามารถ
  • ตามความคิดได้ทัน
  • ........
  • การทำให้เธอ
  • สามารถเข้าใจ
  • ความปรารถนา
  • ที่ซ่อนอยู่ภายในใจ
  • ผ่านการเลือกแล้วสรุป
  • แบบทีละคู่ๆไป
  • ทำให้เกิดสติค่ะ
  • .........
  • เหมือนการเลือกสิ่งของ
  • ที่สุดท้ายจะตกลงใจซื้อ
  • ภายใต้เงื่อนไขที่มีจำกัด
  • ของเราเอง
  • คล้ายๆอย่างนั้นค่ะน้องปู
  • .........
  • นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด
  • ที่ทำให้เกิด
  • ความคิดที่ตรงใจ
  • ใช่หรือเปล่า
  • .........
  • การตัดสินใจที่ตรงใจที่สุด
  • จะตามมา
  • เมื่อเธอเลือก
  • .........
  • ความเข้าใจต่ออารมณ์
  • จะตามมา
  • เมื่อมีการเลือก
  • แบบเปรียบเทียบ
  • .........
  • ผลการเลือก
  • ที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ
  • ทำให้เกิดข้อสรุป
  • ที่ชัดเจนขึ้น
  • ในความสับสน
  • .........
  • การเลือกคงไม่เหลือเพียงหนึ่งเดียว
  • แต่เป็นสองด้าน
  • อย่างที่น้องปูตั้งคำถาม
  • .........
  • แต่คราวนี้การเลือกจะลงตัว
  • กับเงื่อนไขที่
  • เธอเพียงผู้เดียว
  • เท่านั้นที่เป็นคนตั้ง
  • .........
  • สุดท้ายการเลือก
  • จะลงตัวกับความปรารถนา
  • ที่ซ่อนเร้นในใจของเธอค่ะ
  • .........
  • การไม่ก้าวกระโดด
  • ไปที่การตัดสินใจ
  • แบบฟันธง
  • แต่ตามอารมณ์ของตนได้ทัน
  • อย่างที่พี่ได้มีโอกาส
  • ชวนให้เธอได้ใคร่ครวญ
  • ..........
  • ทำให้ในที่สุด
  • เธอพบคำตอบ
  • ที่ลงตัวกับเงื่อนไข
  • ที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง
  • ทั้งกายและใจของเธอแล้วค่ะ
  • ..........
  • เป็นการค้นพบตัวเอง
  • ที่น่าดีใจกับเธอไปด้วยค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท