จากบทความเรื่อง "ความยุติธรรมไม่มา ความสามัคคีจึงไม่เกิด" ใน http://gotoknow.org/blog/peaceful-means/362613 ผู้เขียนได้กล่าวถึง "ความสามัคคี" เอาไว้พอสมควร หากแต่เป็นแนวคิดของนักคิดที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย แต่ไม่ได้กล่าวถึงหลักการใน "พระพุทธศาสนา" เท่าที่ควรจะเป็น ฉะนั้น จึงถือโอกาสนี้อธิบายถึงความสามัคคีในมิติของพระพุทธศาสนาให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
คำถามมีว่า เพราะเหตุใด พระพุทธเจ้าจึงเพียรพยายามที่จะสร้างสังคมสงฆ์ หรือสังคมทั่วไปให้ดำรงอยู่บนบาทฐานของ “สังคมแห่งสามัคคีธรรม” โดยเฉพาะการเน้นให้เห็นว่า สังคมที่พึงปรารถนาคือ “สังคมแห่งความพร้อมเพรียง” ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงตรัสย้ำว่า “ความพร้อมเพียงแห่งหมู่คณะ นำความสุขมาให้”[1] และนำเสนอหลักการนี้ผ่านหมวดธรรมต่างๆ เช่น ย้ำเน้นให้คุณค่าค่าของความพร้อมเพียงในการประชุมเพื่อแบ่งปันความคิด และปรึกษาหารือกันตามหลักอปริหานิยธรรม และการคิด การใช้คำพูด และแสดงออกต่อกันในเชิงบวกที่ก่อให้เกิดการระลึกนึกถึงกันของคนในสังคมตามหลักสาราณียธรรม
เมื่อกล่าวถึงหลักสามัคคีธรรม คำว่า “สามัคคี”[2] หมายถึง “ความพร้อมเพรียงทั้งในเชิงกายภาพที่แสดงผ่านกิจกรรมต่างๆ และจิตภาพที่แฝงตัวอยู่ภายในใจของคนหรือกลุ่มคนต่างๆ” ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ให้เห็นถึงความสำคัญว่า “ธรรมอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อเกื้อกูลแก่คนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่คนหมู่มาก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลแก่คนหมู่มาก เกิดขึ้นเพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”[3] “ธรรมอย่างหนึ่ง” ดังกล่าวก็คือ “ความสามัคคี”
จะเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่พระสงฆ์เกิดความพร้อมเพรียงกัน ชื่นชม ไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำกลมกลืนกับน้ำนมมองดูกันและกันด้วยสายตาที่รักกันอยู่[4] การบาดหมางกัน การข่มขู่กัน การขับไล่กัน ย่อมไม่เกิดขึ้น อีกทั้งทำให้ประชาชนที่ยังไม่เลื่อมใสย่อมเลื่อมใส ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้วก็จะเลื่อมใสกันมากยิ่งขึ้น[5] ฉะนั้น การแสดงออกถึงความสามัคคีนั้น พระพุทธเจ้าจึงมุ่งเน้นทั้งทางกาย วาจา และจิตใจของคน หรือกลุ่มคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งต้องประสมกลมเกลียวกันทั้งสามมิติดังเช่นพระองค์ได้อุปมาว่า ประดุจแม่มองนัยน์ตาบุตร หรือบุตรมองนัยน์ตาแม่
จากนัยข้างต้นพบว่า พระพุทธเจ้าได้ “ยืนยันคุณสมบัติ” ของ “ความสามัคคี” ว่า ถ้าหากสังคมใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสังคมสงฆ์ หรือสงฆ์คฤหัสถ์ก็ตาม เมื่อตั้งมั่นอยู่ใน “ป้อมสามัคคี” ดังกล่าว ก็จะเป็นเรื่องยากที่จะใครจะโจมตี หรือทำลายได้ นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ใน “ป้อม” ได้รับคุณประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ “ชุมชน” หรือ “หมู่คณะ” ดังที่พระองค์ได้สรุปว่า “ความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์นำสุขมาให้”[6]
อย่างไรก็ตาม “หลักการสามัคคี” เป็นพื้นฐานของแนวคิดที่ว่าด้วยการอยู่กันในสังคมที่มีพลานุภาพอย่างมาก เพราะว่ากระบวนการสันติวิธีจะ “ไร้ความหมาย” และ “ไร้ผลในเชิงปฏิบัติการ” อย่างสิ้นเชิง หากคู่กรณี หรือสังคมเป็นสังคมที่ “ไร้พลังของสามัคคี” ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังสามัคคีเป็น “ตัวแปร” และ “องค์ประกอบ” ที่สำคัญในการผลักดันกระบวนการ “สังคมแห่งความไร้ระเบียบ ความโกลาหลและยุ่งเหยิง” ไปสู่ “สังคมแห่งสันติ”
พระพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างของการใช้แนวคิดสามัคคีประสานพระภิกษุที่มีความแตกต่างในแง่ของ “วรรณะ” “ลัทธิ” และ “ความคิด” ให้เกิดเป็น “สังคมสงฆ์” ขึ้นมา และครั้งใดที่เกิดขึ้นวิกฤติการณ์ต่างๆ อันก่อให้เกิดความแตกแยก พระองค์ใช้หลักการนี้เข้าไปเป็น “ตัวเชื่อม” อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับการตีความพระวินัยตามที่ปรากฏใน “โกสัมพีศึกษา” และ “กรณีสงครามน้ำ” ก็เช่นเดียวกัน พบว่า การนำเสนอพระสูตรที่บรรจุด้วยหลักการและแนวคิดเพื่อโน้มน้าวให้พระภิกษุเกิดความสมานฉันท์กันนั้น ก็มักจะสอดรับกันในสองพระสูตรดังกล่าว
ดังจะเห็นได้จากกรณีของนำเสนอ “วัฏฏกชาดก” มาเป็นอุทาหรณ์สอนใจพระภิกษุชาวโกสัมพี และพระญาติทั้งสองฝ่ายของพระองค์ โดยชี้ให้เราได้เห็นถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้น จากการแตกความสามัคคีกัน “เมื่อฝูงนกกระจาบพร้อมเพรียงกันอยู่ นายพรานก็ไม่อาจหาช่องทำร้ายได้ ต่อเมื่อใดฝูงนกกระจาบเกิดการแก่งแย่งขึ้น เมื่อนั้น บุตรนายพรานคนหนึ่งจึงทำลายเอา นกกระจาบเหล่านั้นไปเสีย ขึ้นชื่อว่า ความหายใจคล่องในการทะเลาะวิวาทย่อมไม่มีเลย”[7]
อย่างไรก็ตาม การนำเสนอ “ชาดก” ในเชิงบุคคลาธิษฐาน และธรรมาธิษฐานนั้น แม้จะมีความแตกต่างกันในแง่ของ “ชาดก” แต่สอดคล้องกันเกี่ยวกับ “หัวใจ” ของคำสอน ดังจะเห็นได้จากการใช้ “ลฏุกิกชาดก”[8] เตือนสติพระภิกษุเมืองโกสัมพี และนำเสนอ “รุกขธรรมชาดก”[9] เตือนสติหมู่ญาติ “สารัตถะ” ของชาดกทั้งสองก็ยังพุ่งตรงไปที่ “ความสามัคคี” เช่นเดิม
จะเห็นว่า “หลักการสามัคคี” ในพระพุทธศาสนานี้เป็นประเด็นที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากหลักฐานต่างๆ ที่ชี้ให้เราได้ประจักษ์แล้วข้างต้น ฉะนั้น หลักการนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญให้พระพุทธเจ้าได้วางเป็นหลักการ หรือเป็นเป้าหมายสำคัญที่ปรารถนาจะเห็นสังคมของพระสงฆ์ หรือชุมชนต่างๆ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ท่านได้อ่านบทความนี้คงจะทำให้ท่านได้คิดอะไรได้หลายอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีและมีความสุขทางด้านจิตใจนะค่ะ นักการเมืองทั้งหลายควรนำหลักธรรมดังกล่าวไปใช้ให้มากกว่านี้เพราะจะทำให้บ้านเมืองสงบสุข
อันสุขทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่ ไม่ยึตติดจิตว่างทางสดใส ท่านอาจมีความสุขกว่าใครใคร ถ้าท่านได้สว่างทางรสธรรม
อันสุขทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ ไม่ยึดถือจิตสว่างทางสดใส ท่านอาจมีสุขกว่าใครใคร ถ้าท่านได้สว่างทางรสธรรม