ชื่อเรื่อง ชีวิตที่เปลี่ยนไป
ผู้เล่า นทพ. วนพร นพนาคีพงษ์
แก่นของเรื่อง การที่เราสนใจแต่ปัญหาทางกายของผู้ป่วยจะทำให้เราขาดการมองเห็นบางสิ่งบางอย่างไป ครอบครัวเป็นบุคคลสำคัญที่จะดูแลและเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยยามเจ็บไข้ ดังนั้นถ้าเราสามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านอื่นนอกเหนือจากโรคที่เขาเป็นได้ก็จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ป่วยมีแรงใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เนื้อเรื่อง
ในช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ได้ออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยร่วมกับทีมไม้เลื้อย ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างจากการทำงานในเมืองหลวง เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านในแถบนี้ที่มีความหลากหลายแต่ก็ผสมผสานกลมกลืนกันได้อย่างลงตัว เนื่องด้วยความแตกต่างทางด้านสำเนียงภาษาทำให้ในบางครั้งการลงไปคุยกับชาวบ้านจำเป็นต้องอาศัย “ล่าม” เช่น เจ้าหน้าที่สถานีอนามัย อสม. หรือชาวบ้านด้วยกัน ชาวบ้านที่นี่อัธยาศัยดีมาก เวลาที่พวกเราลงไปเยี่ยมบ้านเขาจะยิ้มแย้มและให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเหมือนกับว่ารอคอยพวกเราอยู่
จากการที่ได้ไปพบเจอกับชาวบ้านหลายๆคน ทำให้ฉันได้รู้ว่าความคิดที่ว่าเขากำลังรอคอยเราก็ไม่ผิดนัก ในวันนี้ฉันและพี่ๆทีมไม้เลื้อยได้ออกเดินทางไปสู่ตำบลกุดหว้า เป็นอีกตำบลหนึ่งในอำเภอนี้ที่ชาวบ้านเป็นชาวภูไท บ้านหลังแรกที่ฉันได้ไปเยี่ยมเป็นบ้าน 2 ชั้น ติดกับถนนใหญ่ พอได้เดินเข้าไปในบ้านฉันก็พบผู้หญิงคนหนึ่งอายุราวๆ 40 ปี เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ดูเรียบง่ายและเหมาะสมกับฐานะ เธอหมุนล้อรถเข็นออกมายิ้มและทักทายพวกเรา แต่ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่ารอยยิ้มของเธอดูไม่ค่อยสดใสเหมือนกับว่าเธอมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ เธอมีชื่อว่า น้า “สุวรรณี”
เมื่อ 13 ปีก่อน ขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังนั่งรถไปเที่ยวกันสนุกสนาน ในวินาทีที่ไม่คาดคิดนั้นก็เกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้น ทุกคนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเว้นแต่น้าสุวรรณีที่อาการหนักกว่าคนอื่น กระดูกซี่โครงบริเวณหลังหัก นับจากวันนั้นชีวิตที่เหมือนคนทั่วไปของน้าก็เปลี่ยนแปลงไป น้าเป็นอัมพาตครึ่งซีกล่าง ในตอนนั้นน้านอนอยู่บนที่นอนตลอด ลูกสาวของน้า น้อง”ป่าน” บอกกับพี่ๆว่าน้าท้อแท้และหมดกำลังใจในการมีชีวิตต่อ พี่ๆพยายามหาทางช่วยน้าโดยการเข้าไปเยี่ยม ให้กำลังใจ และทำกายภาพบำบัดให้บ่อยๆ จนน้ารู้สึกเข้มแข็งขึ้น ในตอนนี้น้าสามารถนั่งบนรถเข็นได้ ช่วยเหลือตนเองได้แทบทุกอย่าง ทั้งการอาบน้ำ กวาดบ้าน ซักผ้า รวมถึงสามารถล้างแผลกดทับได้ด้วยตนเอง ชีวิตบนรถเข็นของน้าไม่ได้ไร้ค่าและไม่ได้เป็นภาระแก่คนอื่น เพราะน้าสามารถหาเงินมาช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวได้แม้ว่ารายได้จากการถักหมวกที่ขายได้ใบละ 50 บาทจะไม่มากเมื่อเทียบกับรายได้ของสามี “คุณบรรเจิด” ที่ทำงานเทศบาล
แม้ว่าทุกวันนี้น้าจะสามารถทำอะไรๆหลายอย่างได้ด้วยตนเอง แต่เวลาที่น้าจะขึ้นลงรถเข็นก็ต้องอาศัยคนช่วยเสมอ น้องป่านดูรักน้ามาก น้องป่านไม่ได้ทำงานเพราะคอยดูแลน้าตลอด ชีวิตของคนในครอบครัวนี้จึงขึ้นกับสามีของน้าผู้ที่หาเงินมาเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก สิ่งเดียวที่พี่ๆทีมไม้เลื้อยพยายามจะช่วยน้าในตอนนี้คือการช่วยเหลือน้องป่านให้มีงานทำเพื่อให้ครอบครัวมีรายได้อีกทางหนึ่ง เพราะเราไม่รู้ว่าต่อไปในอนาคตข้างหน้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปและจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของน้าหรือไม่
การที่เราสนใจแต่ปัญหาทางกายของผู้ป่วยจะทำให้เราขาดการมองเห็นบางสิ่งบางอย่างไป ครอบครัวเป็นบุคคลสำคัญที่จะดูแลและเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยยามเจ็บไข้ ดังนั้นถ้าเราสามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านอื่นนอกเหนือจากโรคที่เขาเป็นได้ก็จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ป่วยมีแรงใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ผู้บันทึก นทพ. วนพร นพนาคีพงษ์ วันที่ 21 มกราคม 2553
สวัสดี ครับ
ครอบครัวเป็นบุคคลสำคัญที่จะดูแลและเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยยามเจ็บไข้ ดังนั้นถ้าเราสามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านอื่นนอกเหนือจากโรคที่เขาเป็นได้ก็จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ป่วยมีแรงใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ขอบพระคุณเรื่องเล่า ที่ได้อ่าน และได้ข้อคิด ครับ
สวัสดีค่ะทีมไม้เลื้อย
ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ พวกเราจะไม่มีวันทิ้งกัน ทั้งผู้ป่วยและครอบครัวคือหนึ่งเดียว ต้องดูแลไปพร้อมๆกันค่ะ สู้สู้นะคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ
สวัสดีค่ะ
" ครอบครัวเป็นบุคคลสำคัญที่จะดูแลและเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยยามเจ็บไข้ ดังนั้นถ้าเราสามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านอื่นนอกเหนือจากโรคที่เขาเป็นได้ก็จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ป่วยมีแรงใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป "
เป็นกำลังให้ทีมไม้เลื้อย นะค่ะ