ซ.ซวง
นาย นพรัตน์ รัตนพงศ์ผาสุข

ควอนตัมกับดอกบัว


...การศึกษาทางควอนตัมฟิสิกส์ในปัจจุบันนั้น ได้ยืนยันสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้มานานกว่า 2,500 ปี...

[http://gotoknow.org/file/chiew-buncha/book-Quantum-and-Lotus-Thai-LoRes.gif]

 

หนังสือเล่มนี้ เป็นอีกเล่มหนึ่งที่อ่านยากมากๆ เล่มหนึ่งเท่าที่ผมได้เคยอ่านมา

เหตุเพราะว่า หนังสือเล่มนี้นั้นถูกเขียนขึ้นจากความพยายาม

ที่จะหาความเหมือนในความต่างระหว่าง

โลกทัศน์สองแบบ อันได้แก่

“ดอกบัว” อันหมายถึงโลกทัศน์แบบพุทธ  และ

 “ควอนตัม” ซึ่งหมายถึง โลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์ใหม่ในแบบกลศาสตร์ควอนตัม

 

ต้องยอมรับตามตรงว่า ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แบบไม่เข้าใจเป็นส่วนใหญ่

เหตุเพราะ ความรู้ความเข้าใจพุทธศาสนาที่แท้นั้นมีน้อยนิดนัก

ยิ่งเรื่อง ควอนตัมฟิสิกส์ ก็ยิ่งไปกันใหญ่

แม้ผมจะชอบแนวคิดของควอนตัมฟิสิกส์

แต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรดีนัก

 

ดังนั้น จึงไม่รู้จะกล่าวอะไรดีเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้

เดี๋ยวจะเผยไต๋ว่าโง่แล้วยังอวดฉลาดอีก

 

แต่สิ่งที่พอจะบอกได้คร่าวๆ จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ

การศึกษาทางควอนตัมฟิสิกส์ในปัจจุบันนั้น

ได้ยืนยันสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้มานานกว่า 2,500 ปีแล้วว่า

 

...ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง

สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกัน และแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยของมัน…

 

และนี่ก็คือสิ่งที่หลายๆ คนสืบเสาะมานานว่า

บนถนนสายวิทยาศาสตร์ และบนถนนสายพุทธศาสนา

ที่ดูประหนึ่งว่าเป็นเส้นขนานกันนั้น

จุดตัดของถนนสองเส้นนี้จะอยู่ ณ จุดใด

ถึงวันนี้  คำตอบมีให้เห็นแล้ว

 

สุดท้ายอยากจะบอกว่า คิดให้ดีนะครับ ก่อนจะหามาอ่าน

และหากอยากจะอ่านเล่มนี้จริงๆ

อยากแนะนำให้ลองหาหนังสือคลาสสิกอีกเล่มหนึ่งคือ “เต๋าแห่งฟิสิกส์”

[http://www.su-usedbook.com/shop/s/su-usedbook/img-lib/spd_20090706220226_b.jpg]

มาอ่านประกอบกัน ก็อาจจะทำให้เข้าใจเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ได้ดียิ่งขึ้นครับ

หรืออาจจะงงหนักเข้าไปอีกก็เป็นได้

แต่ยังไงก็ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ

หมายเลขบันทึก: 358141เขียนเมื่อ 13 พฤษภาคม 2010 00:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

หนังสือเล่มนี้ อ.บัญชา ธนบุญสมบัติ เป็นหนึ่งในทีมผู้แปลด้วยนะครับ

สวัสดีครับ

ในฐานะคนที่เรียนจบทางสายวิทย์ เลยขวนขวายหามาอ่านแล้วครับ แถงบ้านหาซื้อยาก เลยสั่งซื้อจากสำนักพิมพ์ครับ สนุกดี รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง

ส่วนเล่มที่สองเคยได้ยินแต่หาอ่านไม่ได้ครับ

แต่ก็อ่านงานของฟริตจ็อบ คาปร้าไปหลายเล่มเหมือนกันครับ

ขอบพระคุณที่แนะนำนะครับ...

สวัสดีครับ คุณ  Phornphon

หากชอบแนวนี้ขอบอกว่า "เต๋าแห่งฟิสิกส์" นั้น

ต้องหามาอ่านให้ได้เลยนะครับ สุดยอดจริงๆ

ขอบคุณครับ คุณกานดา

วันหลังจะขออนุญาตไปตามหาน้ำมันมะพร้าวบ้างนะครับ

พอจะแนะนำได้ไหมครับ

ว่าควรซื้อที่ไหน อย่างไรดีครับ

ขอบคุณครับ...

รู้สึกว่าหนังสือใหม่จะไม่มีพิมพ์แล้วครับ เข้าใจว่าคงจะขายยาก พิมพ์กี่ครั้งก็คงขาดทุน

ถ้าจะหาจริงๆ คงต้องเป็นหนังสือมือสอง

ถ้าสนใจ ผมจะส่งไปให้ยืมอ่านได้ครับ (เป็นหนังสือของน้องชายผมเอง)

แจ้งที่อยู่มาทางเมลได้เลยครับ เดี๋ยวจัดให้

[email protected]

ขอบคุณพี่ซวงมากนะครับ สำหรับเล่มนี้^_^

เวลาวันนึงก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากัน

แต่ดูเหมือนพี่ซวงจะอ่านหนังสือได้มาก

และก็มีเวลาทำอย่างอื่นอีกมาก

เค้าว่า อือ มีคนเค้าว่า

สมมุติว่า เราเกิดบ่นว่า เราไม่มีเวลาเล่นเกมส์เหมือนคนอื่นเค้าหรอก เรางานยุ่ง

คนอื่นเค้ามีเวลาว่างนี่ เค้างานไม่มากเหมือนเรา

หากเราบ่นแบบนี้ แล้วมีคนเค้าว่า อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีเวลาว่าง วันนึงเค้าก็ให้เวลาเท่ากันทุกคน

พี่ซวงว่า คนที่พูดแบบนี้เป็นคนยังไงค่ะ

คนที่พูดแบบนี้เค้ามีอุปนิสัยยังไง

ในความคิดของกอ กอก็รู้ว่าคนเราเค้าให้เวลาเท่ากันวันละ 24 ชั่วโมง แต่ในเมื่อวันนึงในการทำงาน 8 ชั่วโมง

งานของเรามันเยอะกว่าคนอื่น ใน 8 ชั่วโมงเราทำงานวันนึงก็ยังไม่เสร็จ

แต่สำหรับบางคน ใน 8 ชั่วโมง เค้าทำ 3 ชั่วโมงที่เหลือเค้าก็ว่างแล้ว

พี่ซวงคิดว่า คนที่เค้าพูด อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีเวลาว่าง วันนึงเค้าก็ให้เวลาเท่ากันทุกคน

เค้าเป็นคนยังไงค่ะ อิอิ ลองถามพี่ซวงดูค่ะ เห็นพี่ซวงอ่านหนังสือเยอะ อาจจะเข้าใจคน

สวัสดีครับ น้องต้นไผ่ไม่มีกอ 

เอ...พิจารณาดูแล้วท่าจะจริงของคนที่พูดนะ

ก็ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันนี่

แล้วถ้าหักเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงออกไป

ก็ยังเหลือเวลาเท่ากันอยู่อีก

 

แต่...

ใครจะเอาเวลาที่เหลือไปใช้ทำอะไรนั้นจะแตกต่างกันไป

เช่น น้องกอจะมีเวลาว่างเสมอสำหรับการวาดรูป

พี่ก็จะมีเวลาว่างเสมอสำหรับหนังสือเล่มโปรด

แต่ใครบางอาจมีเวลาว่างเสมอสำหรับการเล่นเกมส์ที่ชอบ

 

สรุปว่า...

คนเราจะมีเวลาว่างเสมอ (และพยายามหาเวลาว่างเสมอ)

เพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวชอบ ตัวรัก หรือเห็นว่ามีคุณค่าต่อตัวเอง

ซึ่งน่าจะเหมือนๆกัน ทุกๆ คนครับ

 

แต่คำถามสำคัญก็คือ

เวลาที่เราแต่ละคนสูญเสียไป แล้วไม่มีทางได้คืนนั้น

มันคุ้มค่าหรือไม่กับสิ่งที่เราได้มา

คงไม่มีใครบอกได้เหมือนกัน

แต่พี่เชื่อว่าเมื่อวันสุดท้ายของชีวิตเดินมาถึง

นั่นคงพอจะบอกได้ว่า

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา

เราได้ใช้เวลาแห่งชีวิตกันอย่างคุ้มค่าหรือไม่

 

หากเราพร้อมจากไปโดยไม่เสียใจ เสียดายว่า

อันนั้นก็ยังไม่ได้ทำ  อันนี้ก็ไม่เคยทำ

มันก็พอสะท้อนได้ว่า เราใช้เวลาไปอย่างฟุ่มเฟือย

แต่หากใครพร้อมจากไปโดยไม่มีเรื่องติดค้างคาใจ

เขาคงได้ใช้เวลาไปอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท