ชีวิตใหม่ของครูลูกน้ำ


เรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นชีวิตของคนไข้คนหนึ่ง ซึ่งชะตาชีวิตได้เล่นตลกกับเธอจนแทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน แต่ด้วยกำลังใจจากเพื่อนมนุษย์รอบตัวเธอ ในที่สุดก็ทำให้เธอฟันฝ่าช่วงชีวิตที่หนักหนาสาหัสนั้นมาได้ รอยยิ้มของเธอที่ฉันได้พบตั้งแต่วันแรกที่ได้ไปเยี่ยมเธอที่บ้าน แม้จะเพียงแค่ครั้งแรก แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีจนอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าเธอผ่านมันมาได้อย่างไรกัน

 ชื่อเรื่อง ชีวิตใหม่ของครูลูกน้ำ

 ผู้เล่า  นิสิตทันตะแพทย์ อัจฉรา อิงประพันธ์กร (ปิ๊กกี้)

 แก่นของเรื่อง 

 เรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นชีวิตของคนไข้คนหนึ่ง ซึ่งชะตาชีวิตได้เล่นตลกกับเธอจนแทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน แต่ด้วยกำลังใจจากเพื่อนมนุษย์รอบตัวเธอ ในที่สุดก็ทำให้เธอฟันฝ่าช่วงชีวิตที่หนักหนาสาหัสนั้นมาได้ รอยยิ้มของเธอที่ฉันได้พบตั้งแต่วันแรกที่ได้ไปเยี่ยมเธอที่บ้าน แม้จะเพียงแค่ครั้งแรก แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีจนอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าเธอผ่านมันมาได้อย่างไรกัน

 เนื้อเรื่อง   

 ฉันตามพี่ทีมงานไปเยี่ยมบ้านเหมือนตามปกติ เป็นกิจวัตรที่เริ่มเคยชินตั้งแต่เริ่มสัปดาห์ที่สองของการใช้ชีวิตหนึ่งเดือนที่นี่ รถตู้สีขาวซึ่งเริ่มเปื้อนไปด้วยสีน้ำตาลแดงวิ่งโคลงเคลงผ่านถนนลูกรังซึ่งทอดตรงเข้าสู่หมู่บ้านนาโก หมู่บ้านนี้ก็คล้ายกับหมู่บ้านในชนบททั่วๆ ไป  มีบ้านสองชั้นปลูกเป็นหลังๆ แต่ละหลังมีป้ายชื่อบ้านเลขที่กับชื่อเจ้าของบ้านติดไว้ที่หน้าบ้าน มีเสียงไก่แจ้ร้องและหมาพุดเดิ้ลวิ่งไล่ตามล้อรถไปเป็นระยะๆ โชคดีที่ฉันไม่ได้กลัวไก่กับหมาไม่อย่างนั้นคงจะลำบากใจน่าดูที่ต้องเดินลงจากรถ และแล้วรถตู้มาหยุดอยู่หน้าบ้านของคนไข้คนสุดท้ายที่เราจะไปเยี่ยมวันนี้ “วันนี้ครูลูกน้ำสวยจังเลย” เป็นคำทักทายแรกจากพวกเราเมื่อได้เห็นเธอในวันนั้น ผู้หญิงผมบ๊อบตาโตใส่ชุดสวยสีม่วงยิ้มตอบมาอย่างเป็นมิตร ดูไม่เหมือนคนป่วยเลยเมื่อเทียบกับคนไข้รายอื่นที่เราไปเยี่ยมมา  และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันสนใจอยากจะศึกษาเรื่องราวชีวิตของคนไข้รายนี้  เธอชื่อลูกน้ำ อาศัยอยู่กับครอบครัวและสามีอยู่ ณ ปัจจุบัน  แต่ก่อนเธอเคยเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่กศน. หลังจากนั้นแต่งงานอยู่กับสามี ได้ไปฝึกงานอยู่ที่ญี่ปุ่น  ชีวิตดูเหมือนจะราบรื่นและมีความสุขดี  แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายตัวเองได้  เริ่มจากซีกซ้ายของร่างกายมีอาการสั่น จากที่สั่นเพียงเล็กน้อยก็เริ่มสั่นมากขึ้นและลามมาถึงซีกขวาขวา อากรเริ่มเป็นหนักมากขึ้น โรคนี้ทำให้เธอเคลื่อนไหวช้า ทรงตัวได้ไม่ดี หกล้มบ่อย กล้ามเนื้อคอแข็งเกร็งทำให้มักจะปวดเมื่อย เธอเป็นโรคพาร์คินสัน ผลจากการเป็นโรคนี้ทำให้ครูลูกน้ำต้องหยุดสอนหนังสือ แม่และสามีที่อยู่บ้านเดียวกันเป็นห่วงมากจึงห้ามไม่ให้เธอทำอะไรเลย แม้แต่งานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เธอต้องนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆ ครูลูกน้ำได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์จังหวัดกาฬสินธุ์เป็นเวลา 2 ปี แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก ความหวังของครูลูกน้ำที่จะกลับมามีชีวิตเป็นปกตินั้นริบหรี่ เธอมีความรู้สึก มีการรับรู้และสติสัมปชัญญะไม่ต่างจากคนปกติ แต่กลับควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ เธอทั้งท้อแท้ อึดอัดใจ จนหลายครั้งที่คิดอยากจะตายหนีความทรมานในจิตใจกับการที่ต้องมาผจญกับโรคนี้

 

หลังจากนั้นไม่นานครูลูกน้ำมีโอกาสได้พูดคุยกับคนไข้ที่เป็นโรคเดียวกัน คนไข้รายนี้มีอาการดีขึ้นภายหลังผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลจุฬ่า ทำให้เธอตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเช่นกันเพื่อหวังว่าการผ่าตัดในครั้งนี้จะทำให้เธออาการดีขึ้น โดยปกติผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ไม่มีโอกาสที่จะหายขาด ต้องกินยาไปตลอดชีวิตซึ่งถือเป็นแนวทางหลักในการรักษา  การรักษาโดยการผ่าตัดถือเป็นวิธีใหม่ที่ผลการรักษายังไม่สามารถรับประกันผลได้แน่นอน อาจเกิดผลแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัด การส่งตัวไปรักษาข้ามจังหวัดถือว่าเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์หรือที่ชาวบ้านแถบนี้เรียกกันว่า “โรงพยาบาลบัวขาว” ที่พยายามติดต่อดำเนินการให้เธออย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้ไปผ่าตัดที่กรุงเทพ

 

 เส้นทางบางครั้งก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เช่นเดียวกับเส้นทางที่เธอเลือก ภายหลังจากที่ได้ผ่าตัดในช่วงแรกครูลูกน้ำมีอาการสั่นมากขึ้น ซ้ำร้ายกว่านั้นหลังผ่าเธอยังมีอาการทางจิต  หลังผ่าตัดตัดเธอมีความรู้สึกแปลกๆ เธอเล่าว่ารู้สึกเหมือนสมองไหลตลอดเวลาเนื่องจากกะโหลดปิดไม่สนิท มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองว่าไม่มีผมและผิวคล้ำ คิดว่าตัวเองไม่สวยเหมือนแต่ก่อน จนทำให้กินข้าวได้น้อย  ร่างกายจึงซูบผอม หน้าตาไม่สดใส   ดูทรุดโทรมเมื่อเทียบกับแต่ก่อนครูลูกน้ำเป็นคนที่สวยมาก สังเกตได้จากรูปที่ติดตามกำแพงในบ้าน สร้างความท้อใจให้เธอเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

 

ดังแสงสว่างในความมืดมิด เมื่อทีมงานไม้เลื้อยเริ่มขยายพื้นที่การเยี่ยมบ้านไปถึงหมู่บ้านนาโก ชีวิตครูจากที่ไม่มีเพื่อนก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น พี่ๆ สอนให้ครูลูกน้ำฝึกเพ่งสมาธิด้วยกิจกรรมหลายๆ อย่าง ฝึกการเดินให้เป็นแนวตรง  ฝึกการเขียนหนังสือโดยให้เขียนบันทึกประจำวัน เริ่มจับครกเพื่อทำอาหาร ลุกขึ้นมากวาดบ้านและทำบุญทุกเช้าและฟังเทปธรรมเพื่อทำให้จิตใจสงบ อาการของเธอเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆหลังจากพี่ทีมงานเข้าไปช่วยเหลือเธอ  มีอยู่ตอนหนึ่งที่พี่ทีมงานขอให้ครูลูกน้ำเอาสมุดบันทึกของคนไข้มาให้ดู ฉันได้อ่านเจอตอนหนึ่งของบันทึกที่เธอเขียนซึ่งทำให้พี่ๆ รวมถึงตัวฉันรู้สึกภูมิใจในความมีน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ที่มีให้ต่อกันมาก ข้อความตอนหนึ่งในบันทึกเขียนเอาไว้ด้วยลายมือตัวใหญ่ๆ และตัวเล็กลงเรื่อยๆ ตามประสาของคนเป็นโรคว่า “ฉันดีใจที่หมอมาเยี่ยม อยากให้หมอมาเยี่ยมที่บ้าน เมื่อไหร่หมอจะมาหาอีก”

 

หลังจากที่ทำกายภาพร่วมกับไปพบหมอที่โรงพยาบาลจุฬาทุกๆ 3 เดือน เพื่อติดตามอาการและรับยาที่ปรับให้เข้ากับเธอ  ทำให้ทุกวันนี้เธอมีความสุขขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อาการซึมเศร้าไม่มีให้เห็นในแววตาของเธออีก  และยังเผื่อแผ่จะไปถึงคุณฟ้า ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมซึ่งเพิ่งไปผ่าตัดและรับเคมีบำบัด  โดยยามว่างของทุกวันเธอจะคอยไปนั่งเล่น พูดคุย และให้กำลังใจคุณฟ้าซึ่งมีอาการวิตกกังวลเรื่องผมที่บางลงและดูแก่จากผลข้างเคียงของการรักษาด้วยเคมีบำบัด

 

จากเรื่องราวทั้งหมดทำให้ฉันเห็นถึงความสำคัญของการเยี่ยมบ้าน การใช้หัวใจความเป็นมนุษย์ในการเยียวยารักษา  ความพิการไม่ได้แปลว่าจะทำให้ความเป็นคนของคนเหล่านี้ลดลง หน้าที่ของคนทำงานทางด้านสาธารณสุขยังมีอีกมากมาย  ยังมีคนไข้อีกหลายคนที่รอเราอยู่ แล้วเราล่ะได้ทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้อย่างเต็มที่หรือยัง ลองคิดดูซิว่าถ้าญาติพี่น้องของเราเป็นแบบนี้บ้าง เราอยากจะให้เค้าได้รับการดูแลจากหมออย่างไร  ถ้าไม่มีพี่ทีมงานไปเยี่ยมเธอเลยป่านนี้เธอก็อาจจะอยู่อย่างไม่มีคุณค่า เป็นภาระของคนอื่น หวังว่าเรื่องเล่านี้จะเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานและเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมเพื่อให้คนที่ทำงานในด้านวิชาชีพเดียวกันได้รู้ว่าการทำงานด้วยหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์นั้นเป็นไปได้ถ้าหากเราคิดจะทำเพื่อเพื่อนมนุษย์บนโลกใบเดียวกัน

    

ผู้บันทึก นทพ.อัจฉรา อิงประพันธ์กร (ปิ๊กกี้)        วันที่   21 มกราคม 2553

 

หมายเลขบันทึก: 355173เขียนเมื่อ 30 เมษายน 2010 19:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 มิถุนายน 2012 23:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีค่ะ

แวะมาอ่านเรื่องราวนะคะ

ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ค่ะ

^__^

เป็นเรื่องเล่าที่ทรงคุณค่า

ถ้าไม่เข้าถึงบ้านคงไม่เข้าถึงใจ

ลูกจ้างขอเป็นกำลังใจในการเยี่ยมบ้าน

เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดแล้วครับ ที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ผมก็ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้บ้านเมืองนี้น่าอยู่...ให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันมีกำลังใจที่จะก้าวต่อไป

ถึงสิ่งที่ทำจะมากน้อยเพียงใด ก็มีความสำคัญสำหรับคนที่ต้องการความรักและการดูแลเอาใจใส่

ขอบคุณที่มีคนดีๆ อยู่บนผืนแผนดินแห่งนี้ครับ

ขอบคุณมากๆ ครับ

ปล. ถ้าใครเข้ามาอ่านแล้ว อยากส่วนหนึ่งที่จะทำให้บ้านเมืองนี้น่าอยู่

และไม่รู้จะเริ่มจากใคร ลองมองหาคนใกล้ตัวก่อนครับ พ่อแม่และญาติพี่น้อง อาจรอท่านอยู่

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท