งานของฉัน(ที่ยุ่งเป็นบ้า แต่มีความสุข)


ชีวิตขาดงานไม่ได้

สวัสดีค่ะ.....ทุกคน

      คำว่างาน ทุกคนต้องรู้จัก เพราะว่าคนเราต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ และคำว่างาน คำนี้ ส่วนใหญ่แล้วผู้คนก็จะรู้จักกันดีและก็ตามหางานที่ตัวเองชอบ หางานที่เหมาะสมกับตนเอง ทำแล้วสบายใจและที่สำคัญรายได้ต้องดีด้วยจริงๆไหมคะทุกคน

     สำหรับดิฉันแล้วคำว่างานนั้น มันฝังเข้าไปในหัวแล้ว คือไม่รู้สึกอะไรกับคำ คำนี้แล้ว เพราะว่าตั้งแต่ฉันโตมาและทำงานเป็นฉันก็ได้ทำงานตลอด คือป็นชีวิตประจำวันไปแล้วอะค่ะ

    สมัยที่ดิฉันเรียน ดิฉันก็ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย แต่ตอนนั้น ทำงานได้แค่ที่เดียวและไปเรียนหนังสือไปด้วย

    อีกอย่างอาจจะเป็นดวงหรือว่าอะไรต่ออะไรก็ตามเถอะ ดิฉันไม่เคยตกงานเลยค่ะ เขาอาจจะเห็นว่าดิฉันเป็นคนจริงจังหรือว่าอย่างไรไม่ทราบอะค่ะ จะได้งานตลอด

    สมัยที่ดิพอดิฉันเรียน ดิฉันเรียนหนักมาก เพราะว่าเรียนต่อ ป.ตรี สาขา เทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์ ที่ม.รามงคล(คลองหก) เพราะเป็นหลักสูตร 4 ปี แต่ดิฉันเรียน 3 ปี จบเพราะมีบางตัวโอนได้ และทำงานไปด้วยโห......มันเหนื่อยมากๆเลยค่ะ พอเรียนจบปุ๊บ กลับมาเชียงใหม่ทันทีเลย        

    แล้วบอกกับพี่ชายว่า "พี่ซีขอพักผ่อนหนึ่งเดือนนะเพราะเหนื่อยมากเลยเดือนหน้าค่อยไปสมัครงาน" พี่ชายตอบว่าได้พักผ่อนเลย ดิฉันพักผ่อนหนึ่งเดือนเต็มๆ

   พอวันที่ 28 เมษายน 2549 ดิฉันออกเดินทางไปสมัครงานที่แรก คือที่ร้านโฟโต้จาย กาดสวนแก้ว สมัครตำแหน่งผู้ช่วยช่างภาพ พอไปถึงที่ร้านเจอแต่พนักงาน เจ้าของร้านไม่อยู่ พนักงานบอกว่า ให้มาอีกที่ตอนเย็น

    ดิฉันก็กลับบ้านไปเลยไม่สมัครที่อื่นแล้ว รอไปสัมภาษณ์งาน พอถึงตอนเย็นปุ๊บ เดินทางไปที่ร้านอีกที เลยได้เจอเจ้าของร้านตัวตนที่แท้จริง เจ้าของร้านสัมภาษณ์วันนั้นและให้เริ่มงานเลย

    แต่ดิฉันไม่พร้อมขอเริ่มวันที่ 1 พฤษภาคม ดิฉันก็ทำงานที่นั่นได้แค่ 3 เดือนแล้วลาออก ออกไปขายไก่ทอด.....  อะอะอะ...แปลกใจล่ะสิ จบภาพยนตร์มา แต่ขายไก่ทอด ใช่ค่ะออกมาขายไก่ทอด เพราะว่าสมัยเรียน ดิฉันทำงานขายไก่ทอดกับพี่รหัส และก็มีสูตรไก่ทอดหาดใหญ่

    ดิฉันอยากให้พ่อแม่ขายไก่ทอดสูตรหาดใหญ่ อยากให้พ่อแม่มาอยู่เชียงใหม่ จะได้อยู่ใกล้กันและมีอาชีพที่นี่ พอดิฉันทำเกือบเดือน ไม่มีวี่แววว่าพ่อแม่จะมา ดิฉันก็เลยเลิกค่ะ (น้อยใจอีกต่างหากที่พ่อแม่ไม่อยากมาอยู่ที่เชียงใหม่)

    พอใกล้จะสิ้นเดือน ดิฉันเดินทางไปสมัครงาน ที่ร้าน Digital Photo Shop (โรบินสัน)เป็นร้านอัดภาพและมีห้องสตูดิโอค่ะ  ดิฉันก็ได้สมัครงานในตำแหน่งช่างภาพอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ดิฉันไม่ได้เป็นช่างภาพค่ะเพราะ ไม่มีตำแหน่งว่าง เลยเป็นพนักงานหน้าร้านไปก่อน ต่อมาก็ได้เป็นช่างภาพ และ กราฟิก ดิฉันทำงานที่นั่นได้ 3 ปี ก็ต้องมีเหตุให้ลาออก   

    วันหนึ่งมีลูกค้าท่านหนึ่งเขาเป็นชาวอังกฤษ ได้แนะนำให้ไปสมัครครูสอนภาษาไทย ที่โรงเรียนสอนภาษา ซึ่งกำลังเปิดสาขาใหม่ที่เชียงใหม่  ดิฉันพูดกับลูกค้าว่าให้สอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติเนี่ยะนะ  ภาษาอังกฤษใช่ว่าเราจะเก่ง เพราะว่าไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษมา

    ลูกค้าท่านนั้นพูดว่า คุณอยากเป็นครูไม่ใช่หรือ แล้วอีกอย่างภาษาอังกฤษของคุณก็ดีพอแล้ว แล้วทำไมคุณไม่ลองทำตามความฝันล่ะ ดิฉันหยุดคิดสักพักแล้วบอกกับลูกค้าท่านนั้นว่า ok ฉันจะลองไปสมัครดู  แล้วลูกค้าท่านนั้นยิ้มแล้วพูดมาว่า ดี ดีมาก คุณต้องกล้าที่จะลอง

    เขาก็ให้เบอร์มา บอกว่าได้มาจาก Internet บอกว่ามีสาขาที่อื่นด้วย ให้โทรหาเองนะ ดิฉันได้ตัดสินใจโทรไปวันนั้นเลย

    พอโทรไปปรากฏว่าไม่มีคนรับสาย อีกสักประมาณห้านาที เขาได้โทรกลับมาแล้วดิฉันรับสาย (ซึ่งดิฉันไม่รู้เลยว่าคนที่ดิฉันโทรหานั้นเป็นใคร)  แล้วได้พูดเสียงใสว่า สวัสดีค่ะ ปรากฏว่าคนที่ดิฉันพูดด้วยนั้นเป็นผู้ชาย

    คำแรกที่เขาพูดออกมา แล้วทำให้ฉันหมดความมั่นใจไปเลยคือคำว่า Did you call me?ดิฉันตอบไปทันทีว่า Yes…(ลากเสียงยาวๆแล้วเย็นทั้งตัว) เพราะดิฉันไม่คิดว่าคนที่ดิฉันได้โทรหานั้นจะเป็นชาวต่างชาติ แต่เขาก็ไม่หยุดที่จะสัมภาษณ์ดิฉัน

    ได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไปอย่างราบรื่นโดยที่ตอบได้ทุกคำถามการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จึงเสร็จสิ้นลง แต่เขาบอกว่าเขาอยู่กรุงเทพอยู่ ซึ่งได้นัดมาสัมภาษณ์จริงอีกทีหนึ่ง ซึ่งตรงกับวันสิ้นเดือนพอดีเลย

    พอสัมภาษณ์จริงปรากฏว่าเขารับทำงานเลย แต่ดิฉันได้บอกว่าที่ Boss ใหม่ของดิฉันว่า จริงๆแล้วถ้าดิฉันจะมาทำงานที่นี่ดิฉันต้องบอก ที่ทำงานเก่าก่อนหนึ่งเดือน ว่าที่ Boss ใหม่ถามดิฉันกลับมาว่า คุณทำที่นั่นได้เงินเดือนเท่าไหร่

    ดิฉันก็ตอบไป เขาเลยเสนอมาว่า ถ้าผมให้คุณมากกว่าที่เดิมหนึ่งเท่าตัวแล้วคุณจะมาทำงานกับผมไหม ตอนนั้นดิฉันก็สนใจเงินเดือนที่เขาเสนอมาคะ (เพราะว่าเป็นเงินเดือนที่มากอยู่เหมือนกันสำหรับดิฉัน)  

     แต่ดิฉันก็ลำบากใจมากเลยที่จะลาออกกะทันหัน อาจจะเนื่องจากจิตใต้สำนึก หรือความรูสึกดีๆและความผูกพันกับที่ทำงานไม่ว่าเพื่อนๆ หรือเจ้านาย พวกเขาใจดีกันทุกคนเลย  ทำงานด้วยแล้วมีความสุข มีแต่เสียงหัวเราะ

     ดิฉันเลยบอกกับว่าที่ Boss  ใหม่ว่าถ้าอย่างนั้นขอเวลาดิฉันสัก สองอาทิตย์ได้ไหมคะ แล้วดิฉันจะพยายามให้คำตอบให้เร็วที่สุด ได้…แต่ผมให้เวลาคุณแค่หนึ่งอาทิตย์นะ  ดิฉันตอบตกลง แล้วก็ได้กลับไปทำงานตามปกติ โดยที่คิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรดี แต่วันนั้นเป็นวันที่หนึ่งของเดือน

    ดิฉันเลยตัดสินใจขอลาออก แต่เจ้านายบอกว่า ซีก็รู้อยู่นะว่าถ้าจะลาออกต้องบอกก่อนหนึ่งเดือน แล้วอีกอย่างตอนนี้พนักงานไม่พอ ถ้าจะลาออกกะทันหันแบบนี้ พี่ก็หาคนใหม่ไม่ทัน ค่ะซีเข้าใจ

    แต่ถ้าสมมุติว่าได้คนใหม่มาทำงานเร็วๆนี้ แล้วเป็นงานเลยโดยไม่ต้องสอนใหม่ อย่างนั้นซีสามารถลาออกได้ใช่ไหมคะ เจ้านายตอบว่าได้แต่จะหาที่ไหนล่ะ ด่วนกะทันหันแบบนี้ ค่ะถ้าอย่างนั้นซีขอคิดดูอีกทีนะคะซีเองก็เกรงใจ

     เจ้านายบอกว่าโอเคถ้าอย่างนั้นไปคิดดีๆก่อนก็แล้วกัน.. พอสองทุ่มบุ๊ป ว่าที่Bossใหม่ได้โทรมาถามว่า ลาออกหรือยัง ดิฉันก็บอกไปตามที่ได้คุยไว้กับเจ้านายคนเก่า แล้วว่าที่Boss ใหม่บอกว่าเร็วๆหน่อยก็แล้วกัน

    ดิฉันตอบไปว่า ค่ะดิฉันจะพยายาม แล้วดิฉันก็อธิฐานว่าขอให้พระเจ้าช่วยลูกให้มีทางออกที่ดีด้วยเถิด พอวันที่สองดิฉันก็ไปทำงานตามปกติ  คำอธิฐานของดิฉันกลายเป็นจริงค่ะ (อาจจะเนื่องจากอะไรก็ตามแต่เป็นไปตามที่ดิฉันได้อธิฐานไว้ค่ะ)

    วันนั้นมีเพื่อนเก่าที่เคยทำงานที่นั่นด้วยกัน แต่เขาได้ลาออกไปเนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง วันนั้นเขาเข้ามาสมัครงานโดยที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะมาได้ทันเวลา เขาชื่อจ๋อม(เป็นทอมบอย)

    พอจ๋อมเข้ามาที่ร้านบุ๊ป ทุกคนหันไปถามดิฉันหมดเลยว่า ซีโทรให้จ๋อมมาหรือ จ๋อมเองก็ตกใจแล้วหันมาถามดิฉันว่ามีอะไรหรือซี ดิฉันไม่ได้ตอบคำถามแล้วค่ะ รีบถามจ๋อมกลับไปว่า มาทำไมหรือ จ๋อมตอบมาว่ามาสมัครงาน ไม่รู้ว่าจะรับหรือเปล่า (ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า) ไม่รับไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว...

    ส่วนเจ้านายบอกว่าถ้าอย่างนั้นเริ่มงานพรุ่งนี้เลยนะ   จ๋อมบอกว่า งง มีเรื่องอะไรกันหรือทำไมรับจ๋อมทำงานเร็วอย่างนี้ล่ะคะ

    เจ้านายเลยตอบไปว่า ซีขอลาออกแล้ว เขาจะไปเป็นครูสอนภาษา จากนั้นดิฉันเลยโทรไปหาว่าที่Boss ใหม่ของดิฉันค่ะว่าลาออกได้แล้ว ว่าที่Boss ใหม่บอกว่าดีมากเลย คุณทำได้ดีมาก

    แล้วเขาถามมาว่าวันนี้เลิกงานกี่โมง ดิฉันตอบว่า สองทุ่มค่ะ เขาบอกว่าถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ผมจะไปหาคุณที่ทำงานเอง เขาก็ได้เอากุญแจโรงเรียนให้พร้อมหนังสือให้อ่านอีกสองเล่ม เขาบอกว่าให้เริ่มงานพรุ่งนี้ เพราะว่าเขาจะลงไปที่กรุงเทพ 

    นับตั้งแต่วันนั้นดิฉันได้ลาออกจากช่างภาพแล้วผันตัวเองเป็นครูสอนภาษา ดิฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มสอนอย่างไร เพราะว่าไม่มีประสบการณ์ในการสอนมาก่อน แต่โชคดีที่Boss ใหม่ให้ฝึกสอนหนึ่งเดือนเต็มๆ ก่อนโรงเรียนจะเปิดเป็นทางการ

    พอมีการเรียนการสอนจริงๆปรากฏว่าดิฉันสอนได้ และได้เรียนรู้ปัญหาต่างๆ ไปพร้อมๆกัน เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป (เป็นครูคนแรกของโรงเรียนสอนภาษา Walen school สาขาเชียงใหม่ อยู่ที่สิบสองห้วยแก้วตรงข้ามกาดสวนแก้ว)

    ในระหว่างที่ทำงานที่นั่น ก็มีนักเรียนอยากให้ดิฉันสอนพิเศษนอกเวลา แต่ดิฉันไม่ว่างค่ะ เพราะว่าหลังเลิกเรียน ดิฉันก็ไปทำงานแคชเชียร์) แต่ดิฉันทำงานที่นั่นแค่สามเดือน

     เนื่องจากทางโรงเรียนได้เปลี่ยนระบบใหม่ให้ครูทุกคนเป็นทั้งธุรการ ประสานงานทั่วไปและสอนหนังสือด้วย ซึ่งดิฉันไม่ชอบงานเอกสารไม่ถนัดและไม่ชอบ ดิฉันเลยตัดสินใจลาออก พร้อมกันกับเพื่อนอีกสองคน   และได้สมัครครูสอนภาษาที่ Talk talk language ถ.ศิริมังคราจารย์ แถวกาดสวนแก้ว สอนจนถึงปัจจุบัน

     ปัจจุบันดิฉันได้มีภารกิจที่จะต้องทำหลายอย่างมาก จนไม่รู้ว่าตัวเองประกอบอาชีพอะไร งานหลักสอนที่โรงเรียน ถ้าว่าจากโรงเรียนไปสอนพิเศษ ตอนกลางคืนทำงานแคชเชียร์ที่ร้านอาหารฝรั่ง

     และงานสุดท้ายคือทำงานกับพวก อาสาสมัคร Non Government Organization หรือที่เรียกกันว่า NGO  เขาให้พักบ้านหลังเดียวกันกับพวกอาสาสมัคร ฟังดูแล้วเหมือนจะดูดีมีชาติตระกูลนะคะ แต่ดิฉันได้ทำงานตำแหน่งแม่บ้านค่ะ

   งานหลักคือทำอาหารค่ะ บางคนอาจจะมองว่าอาชีพแม่บ้านต่ำ แต่สำหรับดิฉันแล้วไม่ได้คิดแบบนั้นค่ะ เพราะว่าดิฉันต้องการเรียนรู้หลากหลายอาชีพ เพราะดิฉันเองกำลังคิดอยากไปเรียนทำอาหารค่ะ แต่ยังไม่มีเวลาว่างพอที่จะไปเรียน ในที่สุดโชคก็ได้มาเยือนดิฉัน ก็ได้ทำงานกับ NGO

    ก็ขอขอบคุณพี่วาท พี่เบน และคุณซาร่า ณ.โอกาสนี้ด้วยคะ ที่ให้โอกาสดิฉันมาฝึกทำอาหารที่นี่ ส่วนวันเสาร์กับวันอาทิตย์ดิฉันได้เรียนวิชาชีพครู ป.บัณฑิตที่ มหาราชราชภัฏเชียงใหม่

    เห็นไหมคะชีวิตของดิฉันมีแต่งาน… และงาน….จนไม่รู้ว่างานมันคืออะไร รู้แต่ว่าในแต่ละวันดิฉันต้องบริหารเวลาให้เป็น…และที่สำคัญเวลามีค่าสำหรับดิฉันมาก…อย่างไรก็ดีดิฉันก็มีความสุขกับการทำงานที่ยุ่งเป็นบ้าแบบนี้ของดิฉันค่ะ และดิฉันหวังว่าทุกคนก็คงสนุกกับงานที่ตัวเองทำอยู่เช่นกันนะคะ…

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 355153เขียนเมื่อ 30 เมษายน 2010 16:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 20:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ประสบการณ์น่าสนใจนะ ;)..

โห...............ขอบคุณมากนะคะอาจารย์ Ongkuleemarn

เข้ามาเม้นคนแรกเลยนะคะเนี่ยะ!

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท