การเตรียมเงินไปอเมริกา

วิธีการนำเงินไปอเมริกา

เขียนโดย แอมมี่

เรื่องของเงิน - เอามาเท่าไหร่ดี ???

พอดีมีคนถามมาค่ะ ammy เลยรวบรวมมาให้ แต่ก็ต้องถามข้อมูล update จากทางธนาคารด้วยนะคะ

 

เงินที่คุณควรจะเตรียมมาในระยะแรกก็จะเป็น  

1) เงินสดที่ใช้ในระหว่างเดินทางและเป็นค่าใช้จ่าย ต่างๆในอาทิตย์แรกๆ

2) เงินค่าเรียนซึ่งอาจจะถือมาเป็นเงินสดหรือดราฟท์ (draft) หรือ Traveler Check

3) บัตรเดบิต หรือบัตร Visa Electron หรือบัตร บัวหลวงพรีเมียร์ หรือบัตรเครดิต

 

เงินสดติดตัว (Cash or Pocket money) จะเอาติดตัวไปเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ของแต่ละคนนะคะ  ใครที่จ่ายค่าเรียนและค่าที่พัก ล่วงหน้ามาจากเมืองไทยแล้วก็อาจจะพกมาแค่ $200 - $1000 น่าจะพอ ใช้เป็นค่าอาหาร ค่ารถ ค่าเปิดบัญชีธนาคารไปได้ซักอาทิตย์ สองอาทิตย์  แต่ ถ้าใครที่ยังไม่ได้จ่ายค่าเรียนและค่าที่พักก็อาจจะเอาติดตัวมาตั้งแต่ $2000 - $10,000 (จำนวนเงินสูงสุดที่ให้เอาเงินสดเข้าประเทศอเมริกาได้ตามที่ระบุ ไว้ในใบดีแคลร์ของศุลกากรอเมริกา) แต่ถ้าเอาเงินสดไปมากก็เสี่ยงต่อการหายมากด้วยเช่นกัน  ทางที ดีสูงสุดก็ไม่น่าจะเกิน $5000 แล้วทีเหลือแลกเป็นดราฟท์ไปดีกว่า

 

ดราฟท์ (Draft) เป็น เอกสารการเงินรูปแบบหนึ่ง จะระบุชื่อผู้รับเงินและจำนวนเงิน เหมาะกับการนำเงินจำนวนมากๆไปเพื่อจ่ายค่าเทอมหรือค่าอพาร์ทเม้นท์ เราสามารถไปซื้อที่ธนาคารไหนก็ได้ที่มีแผนกต่างประเทศ โดยขอแลกเงินสดเป็นดราฟท์ และจะเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 300-500 บาทต่อใบ อัตราค่าแลกเปลี่ยน (exchange rate) จะดีกว่า เอกสารเงินรูปแบบอื่นๆ  ข้อดีของดราฟท์คือ ค่าธรรมเนียมไม่แพงและปลอดภัย ถ้าหายก็สามารถอายัดได้และเอาต้นขั้วไปขอแลกเงินคืนได้ แต่เมื่อเอาดราฟท์ไปเปิดบัญชีธนาคารที่อเมริกาแล้ว อาจจะต้องรอประมาณ 1-2 อาทิตย์ กว่าจะถอนเงินมาใช้ได้

 

ทราเวลเลอร์สเช็ค (Travelers Cheque) หรือ ตั๋วเงินสำหรับนักเดินทางออกโดยธนาคารหรือสถาบันการเงิน ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเนียมการซื้อนิดหน่อย ใช้จ่ายตามราคาหน้าตั๋ว ต้องใช้ควบคู่กับพาสปอร์ตและทุกครั้งที่ใช้ต้องเซ็นชื่อใหม่ให้เหมือนกับลาย เซ็นเดิมบนตั๋วเงินที่เซ็นต์ไว้แล้วตั้งแต่ตอนซื้อ ราคาหน้าตั๋วก็มีตั้งแต่ $20, $50, $100, $500, $1000 หรืออาจจะ มีย่อยๆ ไปกว่านี้ ของ American Express จะน่าเชื่อถือที่สุดค่ะ ข้อดีของ Travelers Cheque คือ สามารถใช้แทนเงินสดได้ หลายร้านในอเมริกายอมรับเวลาเราซื้อของและบางทีทอนเป็นเงินสดให้ด้วย  เอาเข้าบัญชีธนาคารแล้วเบิกได้เลย ไม่ต้องรอนานเหมือนดราฟท์ ถ้าหายก็อายัดได้  และถึงมีคนเก็บได้ก็ยากที่จะไปแลกเป็นเงิน สด เพราะต้องมีพาสปอร์ต หน้าตาเหมือนกัน เซ็นชื่อเหมือนกันค่ะ

 

     

 

บัตรเครดิต (Credit Card) แนะนำว่าให้เอาไปเผื่อไว้เท่านั้นค่ะ ไม่จำเป็นก็อย่าใช้ เพราะถ้า มารูดใช้ก็จะเสียค่าธรรมเนียมแพงด้วย (currency conversion fee 1-3%) ถอนเงินมาใช้จะโดนชาร์ตค่า cash advance fee แพงอีก และจะสร้างปัญหาให้เราได้ถ้าไม่มีใครช่วยจ่ายเคลียร์ให้ที่ไทย และยิ่งถ้าเราส่งเองจากอเมริกาจะยุ่งยากเข้าไปอีกค่ะ ค่อยไปเปิดใช้ที่อเมริกาพร้อมกับเปิดบัญชีธนาคาร หรือบางครั้งจะมีจดหมายมาชวนให้สมัครถึงบ้าน ก็เลือกแบบไม่ต้องจ่าย Annual fee และดอกเบี้ยถูกๆ ดีกว่า บัตรเครดิตที่ยอมรับกันมากที่อเมริกา ได้แก่ Visa, Master Card, American Express, Discover และ Diners Club  บัตรเครดิตสามารถกดเงินสดได้ (แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียม) ต้องขออนุมัติวงเงิน (เครดิตไลน์ credit line เช่น100,000 บาท ก็ใช้ได้ไม่เกินนั้น) รูดซื้อ สินค้า จ่ายค่าอาหาร ซื้อตั๋วเครื่องบิน ซื้อของผ่านเน็ตได้โดยไม่ต้องมีเงินในบัญชี แต่จะเรียกเก็บเป็นรายเดือน สามารถจ่ายคืนรวดเดียวหมดหรือผ่อนจ่ายได้แต่ดอกเบี้ยจะสูงมาก

 

บัตรเดบิต. บัตรวีซ่าอีเล็คตรอน  (Debit Card or Visa Electron) บัตรเดบิต อาจจะเป็นบัตรที่มีเครื่องหมายวีซ่า (Visa) หรือมาสเตอร์ (Master) อยู่ บนหน้าบัตร ขณะที่บัตร Visa Electron จะมีเครื่องหมายวีซ่าอิเล็ค ตรอนอยู่ที่หน้าบัตร โดยบัตรทั้งสองประเภทจะทำหน้าที่มากกว่าบัตร ATM คือ กดเงินมาใช้ได้ นำไปใช้รูดซื้อของตามร้านที่มีเครื่องหมายยอมรับบัตรประเภทนี้ได้  สามารถ ใช้ได้ทั่วโลก จะแตกต่างจากบัตรเครดิตตรงที่ต้องมีเงินอยู่ในบัญชี ออมทรัพย์ (saving account) หรือ กระแสรายวัน(checking account)  ถึงจะถอนได้ ถ้ามีเงินอยู่ 3000 บาทก็ใช้รูดได้แค่นั้น ตัดบัญชีวนนี้เลย

 

บัตร ATM, บัตรบัวหลวงพรีเมียร์ จริงๆ แล้วก็คือบัตรเอทีเอ็มที่สามารถถอนเงินสดได้ทั่วโลกค่ะ พลิกดูด้านหลังบัตรจะเห็นสัญลักษณ์ PLUS หรือ CIRRUS ธนาคารใน เมืองไทยก็จะให้บริการพ่วงกับสองบริษัทนี้อยู่นะคะ

 

 

 

ที่ อเมริกาตู้ ATM มีเยอะแยะมากมายค่ะ ทั้งตาม Grocery Stores โรงอาหาร Cafeteria, Shopping Malls, Gas Station และตามธนาคารทุกที่  ก่อนจะกดเงิน ต้องดูก่อนว่าตู้ ATM นั้นพ่วงกับค่ายใด  ถ้าพ่วงกับทั้ง สองค่ายก็กดเงินได้เลยค่ะ

 

บัตรบัว หลวงพรีเมียร์ เป็นของธนาคารกรุงเทพ หากมีบัญชีอยู่แล้วสามารถขอใช้บัตรนี้ได้ (สอบถามรายละเอียดจากทางธนาคารนะคะ) ข้อดีคือ ที่บ้านสามารถเอาเงินเข้าบัญชีที่เมืองไทย แล้วเราเอาบัตรไปกดเงินออกมาที่อเมริกา เสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 75 บาท (วิธีประหยัดคือ กดออกมาเต็มวงเงินต่อครั้ง เช่น ถ้าวงเงินต่อวันกดได้ไม่เกินหนึ่งแสนบาทไทย เราก็กดที่อเมริกา $2800 (2800 x 35 + 75 = 98,075 บาท) ขณะที่บัตรของธนาคารอื่นๆ ค่าธรรมเนียมการถอนเงินต่อครั้งคือ 100 บาทค่ะ

 

อย่าลืม!!!  ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากธนาคารก่อนบินนะคะ

 

โอนเงินผ่านธนาคาร (Wire Transfer) จริงๆแล้ว วิธีการทั้งหมดข้างต้น คือวิธีที่นิยมกันมากๆ ค่ะ ส่วนวิธีโอนเงินผ่านธนาคารนี้ เอาไว้ใช้เวลาที่เราต้องการโอนเงินจำนวนมากๆ เดี๋ยวนี้ค่าธรรมเนียมก็ไม่แพง 300-500 บาท (สอบถามค่าธรรมเนียมจริงที่ธนาคารนะคะ โอนมากเสียค่าธรรมเนียมมากค่ะ) สามารถจะไปโอนที่ธนาคารสาขาที่เปิดบัญชี หรือเดี๋ยวนี้สามารถโอนทางเน็ต (internet banking) หลายๆ ธนาคารมีบริการแล้วด้วยค่ะ สะดวก รวดเร็ว บางแห่งให้บริการฟรีไม่มีชาร์ต  ข้อมูลที่ต้องใช้คือ Swift Code ของธนาคารที่จะให้โอนเข้า สาขา (Branch and address)  ชื่อ เจ้าของบัญชี (Account Name) และหมายเลขบัญชี (Account Number)  ความเร็วในการโอนก็แล้วแต่ธนาคารค่ะ ตั้งแต่ 1-5 วัน ทำการ

 

Swift Code ของธนาคาร ไทย

ธนาคาร กรุงเทพ                BKKBTHBK

ธนาคาร กรุงไทย                KRTHTHBK

ธนาคารไทย พาณิชย์           SICOTHBK

ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา          AYUDTHBK

ธนาคาร กสิกรไทย              KASITHBK

ธนาคารนคร หลวงไทย        SITYTHBK

ธนาคาร เอเชีย                         BKASTHBK

 

สรุป ammy ว่านำ เงินสดติดตัวไปจำนวนหนึ่งให้พอใช้ได้สองอาทิตย์ ถ้าต้องจ่ายค่าเล่าเรียนภายในอาทิตย์แรก ก็รูดบัตรเอาเงินสดออกมา (จะเป็นบัตรเดบิต วีซ่าอิเล็คตรอน บัวหลวงพรีเมียร์ หรือบัตรเครดิตก็แล้วแต่สะดวก) จะแลกดราฟท์ แลก Traveler cheque มาด้วย อีกมั๊ย ก็ลองตัดสินใจดูค่ะ ปรึกษาทางบ้านดูว่าจะส่งเงินกันแบบไหนดีที่สะดวกกันทั้งสองฝ่าย สบายใจหายห่วง 

 

ที่มา http://ammyweb.spaces.live.com/blog/cns!8D767FF50B696715!968.entry

[thitiporn]

บัตรธนาคาร uob ทั้งเครดิตและเดบิต นำไปใช่ที่อเมริกา จะมีปัญหาไหมค่ะ มันไม่ค่อย worldwide