คนบาปพันปี


คนบาปพันปี

วันนี้ขอเขียนเรื่องไม่ค่อยรื่นรมย์สักนิด และฟังๆดูจะขัดแย้งกับบางหลักการที่เคยเขียนมา ได้แก่เรื่อง "เหตุปัจจัย" หรืออิทัปปัจจยตา แต่ก็นั่นแหละ มันมีเหตุที่จะเขียน

คำๆนี้ฟังปุ๊บก็มีกลิ่นสำเนียงจีนๆ อาจจะเป็นเพราะเราคุ้นๆกับภาพยนต์จีนโบราณที่เวลาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ก็จะมีเสียงร้องขอพระองค์อายุยืนยาวเป็นหมื่นๆปี หมืื่นๆปี ในหนังสือกำลังภายในก็จะมีโสมหิมะพันปี พญางูเขียวพันปี อาวุธวิเศษพันปี ดูจะเป็นหน่วยที่นิยมในวัฒนธรรมจีน ทั้งนี้แหละทั้งนั้น คำๆนี้ไม่ได้หมายความตามตัวอักษรซะทีเดียว คือพูดถึง "คนบาป" ส่วนพันปีนั่้นค่อนไปทาง​ "นานมาก หลายๆรุ่น หลาย generations" มากกว่าที่จะเป็นหมายถึงจำนวนปีจริงๆ ซึ่งในความเป็นจริงผมก็ได้ฟังมาจากหมอวรวุฒิ ที่ไปดูภาพยนต์กึ่งๆสารคดีเกี่ยวกับประเทศจีน ที่มีคนถามผู้นำปฏิวัติคนหนึ่งว่า "ทำไมไม่ไปลอบสังหารผู้นำอีกฝ่ายล่ะ ทีเดียวก็เสร็จ" ทั้งๆที่เห็นด้วย และสามารถทำได้ ผู้นำคนนี้คิดอยู่พักนึง แล้วก็ตอบว่า "ไม่ล่ะ ถึงจะเลว จะดี เป็นผู้เหี้ยมหาญในการศึก การสงครามเพียงไร อั๊วก็ไม่อยากเป็นคนบาปพันปี" เรียกว่าขอขีดเส้นตายไว้่ตรงนี้ คือเลวยังไงๆ เห็นแก่ความสำเร็จยังไงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าทำทุกวิถีทาง มีเส้นแบ่งไว้เหมือนกันว่าอะไรที่จะไม่ทำ

ปกติบาปก็บาปนิดเดียว แต่บาปยังไงเป็นพันปี อันนี้ต้องเห็นว่ามีคนไม่กี่คนที่จะมีโอกาสทำบาปแบบนี้ อาจจะเพราะบารมีไม่ถึง โอกาสไม่อำนวย ไม่ได้อยู่ในที่ที่ต้องอยู่ ฯลฯ มากมายหลายประการ จนตกตะกอนกลั่นมาถึงจุดสุดยอดที่ไปอยู่ในทีี่ที่ต้องอยู่ มีพลังที่ต้องมี มีโอกาสที่มาถึง แล้วก็.... พั้ว! ตัดสินใจทำลงไป ผลกระทบต่อชีวิตคนทั้งประเทศ ทั้งชุมชน ต่อๆไปหลาย generations หลายชั่วโคตร

ถ้ายังจำตำนาน "อิ้วจาก๊วย" หรือ "ปาท่องโก๋" ได้ นั่นเขาหมายถึงขุนนางสุดยอดกังฉินกับภรรยา คือขุนนางใหญ่คนนี้ให้การใส่ร้ายยอดขุนพลงักฮุย จนตอนนั้นผู้นำหลงเชื่อ ส่งจดหมายถอดยศเป็นสิบๆฉบับ เรียกตัวกลับมาจากด่านหน้า แล้วสั่งประหาร พอตัวตายลง ความชั่วที่มีคนจำได้ และคงไม่อยากลืมง่ายๆ ก็เลยปั้นแป้ง ตัวนึงเป็นตัวขุนนาง อีกตัวเป็นเมีย เอามาบิดแล้วโยนลงกะทะน้ำมันร้อน แล้วเอามากัดกินให้หายแค้น! เป็นวิธีที่ทำให้เรื่องราวความเลวของคนเป็นอุทธาหรณ์ได้ยาวนานเป็นพิเศษจริงๆ

ผมเคยพูดเสมอว่า เหตุต่างๆนั้น ผมเชื่ออย่างที่ทางพุทธเล่าให้ฟัง ว่ามันมี "เหตุปัจจัย" ไม่ได้มาโดดๆ แต่มาเป็นร่างแหใยแมงมุม กระนั้นก็ตาม ในประวัติศาสตร์มนุษย์ ดูเหมือนว่าจะมี "ปัจเจกบุคคล" หลายคน หลายสมัย ที่เป็นตัว "กดปุ่ม" เพื่อให้เหตุการณ์ที่ซับซ้อนนั้น มาถึงจุดผันเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ คนอย่างเช่นท่านมหาตมะ คานธี มาร์ติน ลูเธอร์ คิง อับบรมฮัม ลิงคอล์น พระพุทธเจ้า เป็นต้น คล้ายๆกับว่า เป็นตัว "ตกผลึก" (precipitate) หลังจากที่ได้มีเหตุการณ์ "สะสม" (predisposing) มานานแล้วนั้่นเอง

ประเด็นก็คือ เรามักจะ "ไม่รู้ตัว" ว่าเรากำลังจะกลายเป็นคน "กดปุ่ม" นั้นอยู่รึเปล่า

เพราะ "รู้ตัว" นั้น อาศัยสติที่ต้องอยู่บนสัมมามรรคาพอสมควร อย่างท่านผู้นำที่ตัดสินใจว่าจะลอบฆ่าอีกฝ่ายดี/ไม่ดี นั่นท่านเกิดรู้ตัวว่าได้ "วนเวียน" อยู่ขอบเหวอันลื่นอยู่แล้ว เรียกว่าหล่นที ไม่มีติดเบรค ลงทีเดียวไปใต้ชั้นเถรเทวทัต one-way ticket เลยนั่นเทียว

"คนกดปุ่ม" ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งอะไรใหญ่โต  ขอเพียงมี "สายใย" ไปยัง right people ที่จะดึงปราสาทไพ่ทั้งหมดลงมาได้ นั่นคือคุณสมบัติเดียวก็พอ ความจริงนั้นมันจะปรากฏออกมาภายหลังเสมอ แม้อาจจะเป็นภายหลังที่คนมีอำนวจหมดอำนาจไปแล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฏออกมาในที่สุด คนรับความเดือดร้อน หรือผลกรรม ก็กลายเป็นคนที่เรารัก เรา care มากที่สุด คือลูกหลาน วงตระกูลของเราเอง

ผมสอนนักศึกษาแพทย์เสมอว่า Ethics หรือจริยธรรมนั้น ไม่ได้เรียนเพื่อว่าเราจะได้เป็นคนดีอย่างเดียว เพราะอาชีพของเรา มีโอกาสทำผิดพลาดและความผิดพลาดของหมอ มักจะหมายถึงชีวิตคนได้ง่ายๆ ดังนั้น to err is human ยังไงๆก็ต้องทำผิดเข้าสักวัน ขอให้ความผิดนั้นๆ ได้ทำลงไปโดยมีอะไรยึดที่ดีพอ ชนิดที่ว่าเราสามารถอยู่ ใช้ชีวิต กับความผิดนั้นๆได้โดยไม่ guilt สำนึกผิดรุนแรงเกินไป หลายๆอย่างอาจจะทำให้เราทุกข์ไปทั้งชีวิต หรือทุกข์ที่สุดตอนเราเองเปราะบาง อาทิ บนเตียงที่เรากำลังจะตาย สิ่งที่เรากด เราทับ เราแกล้งเป็นว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้เกิดนั้น ตอนนั้นความจริงมันจะประเดประดังมาท่วมท้น และไม่มีใครสักคนจะช่วยได้ ถ้าเคยเห็นกับตาสักราย จะรู้ว่ามันน่าสงสาร ตายอย่างทุกข์ทรมานยิ่งนัก

เห็นแล้วจึงเข้าใจว่า ทำไม "หิริโอตัปปะ" จึงเป็นธรรมคุ้มครองโลก เพราะเราเองที่จะมีสติ รู้ตัว มองเห็นผลแห่งการกระทำ เมื่อไรก็ตามเราแสร้งเป็นมองไม่เห็น ปล่อยจิตกักขฬะ จิตมาร จิตอสูร จิตเปรต จิตสัตว์นรก มายึดครองร่างมนุษย์ของเรา เราสูญเสียความควบคุม สิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมโนสำนึกของเราตลอดไป

ตอนนี้เราอาจจะกำลังอยู่ขอบเหว (หรือไหลลงมานานแล้วก็ไม่ทราบ) และยังไม่ถึงก้นเหวที ยังอีกเยอะ แต่อาจจะเหลือทางชันอีกไม่กี่ครั้งที่เรามีสิทธิและโอกาสที่จะเบรค เราจะทำอย่างไรกันดีกับสิ่งที่เรายังเหลือ (หรือหวังว่ายังเหลือ) อยู่บ้างนี้?

สำหรับตอนนี้ก็อย่าพึงคิดขนมทอดใหม่ๆ เอาไว้เป็นสัญญลักษณ์คนบาปพันปีแทนปาท่องโก๋เลย ภาวนาอย่าให้เกิดขนมชนิดนี้ขึ้นบนโลกอีกเลยจะดีกว่า เพราะมีทีไร แปลว่าคนนับหมื่น นับแสน นับล้านๆชีวิต จะเสมือนตกนรกทั้งเป็นมาแล้ว

คำสำคัญ (Tags): #คนบาปพันปี
หมายเลขบันทึก: 351503เขียนเมื่อ 13 เมษายน 2010 22:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 13:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

บางครั้งรู้สึกเพียงสงสัยว่า ตัวเองกำลังกดปุ่่มอะไรอยู่รู้เปล่า การรวบรวมสตินี้ช่างยากเสียจริงๆ

ลองปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันทำให้มีสติบ่อยขึ้นและเข้าใจบาปบุญมากขึ้น และเห้นตัวตนมากขึ้นค่ะ

พี่เป็นสูติแพทย์ เคยทำบาปโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ได้รับกรรมของการกระทำในอดีต

ขณะนี้ไม่อยากทำบาปเลย พยายามฝึกสติเพื่อให้เกิดกุศลจิต เผื่อจะพ้นทุกข์ไม่ตกอบาย

ชอบพูดเพ้อเจ้อโดยไม่ตั้งใจทำให้ผิดศีลข้อ 4 แต่พูดแล้วก็นึกขึ้นมาได้ แต่ก็น้อยลงนะคะ

มา share กับอาจารยฺเรื่อง บาป บุญ ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท