อดีตความหลัง ถึงฝั่งความฝัน


อดีตความหลัง ถึงฝั่งความฝัน

 ดิฉันขอเริ่มเล่าตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็ก ชีวิตในวัยเด็กของดิฉันเป็นชีวิตที่กล่าวได้ว่าจะทุกข์ก็ไม่ทุกข์ จะสุขก็ไม่สุข แต่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น เป็นครอบครัวเล็ก ๆ มี พ่อ แม่ ดิฉัน และน้องชาย พ่อและแม่ของดิฉันประกอบอาชีพเกษตรกรและทำการค้าขาย  ตอนที่ดิฉันยังเล็ก ดิฉันได้อาศัยอยู่กระท่อม ซึ่งเป็นกระท่อมเล็ก ๆ มุงด้วยใบคา แม่เล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ฉันลืมตาดูโลก พ่อทำงานหนักมาก พ่อยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อเก็บเงินสร้างบ้าน พ่อเก็บเงินไม่กี่ปีก็สร้างบ้านหลังแรกขึ้น ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพ่อเอง พ่อและแม่เป็นแบบอย่างที่ดีมาก  ยากนักที่จะหาได้  ทำให้ดิฉันรู้จักคำว่า "การพึ่งตนเอง"

 หลังจากที่พ่อสร้างบ้านเสร็จได้ไม่นาน แม่ก็อุ้มท้องน้องชาย นับได้ว่าน้องชายโชคดีที่ได้เกิดมาอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่เพียบพร้อม และสร้างเสร็จได้ไม่นาน ดิฉันกลับไม่คิดน้อยใจหรือเสียใจที่ได้เกิดมาอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ หลังนี้ แต่ตรงกันข้ามกลับรู้สึกดีใจและภูมิใจที่ได้เกิดมาในกระท่อมหลังเล็ก ๆ ได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำบาก ของพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้และรับรู้อะไรมากมายหลายอย่าง

ซึ่งเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ทำให้ดิฉันเกิดแรงบันดาลใจในการต่อสู้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ ทำให้ดิฉัน กล้าคิด กล้าที่จะมุ่งหน้าเดิน เป็นแรงผลักดันให้ดิฉันได้มีกำลังใจที่จะต่อสู้พร้อมเดินไปข้างหน้าแม้ว่าจะมีอุปสรรคขว้างกั้น ในเวลาที่ฉันเหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้ ดิฉันก็จะคิดย้อนกลับไปคิดถึงความเหนื่อยยากของพ่อแม่ที่ได้ทำเพื่อลูก พ่อและแม่คอยบอกและคอยย้ำเตือนอยู่เสมอว่า "อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่ารอคอยวาสนา" และ "ไม่มีสิ่งไหนได้มาง่ายๆ เราไม่ทำ  เราก็จะไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ" 

กาลเวลาพ้นผ่าน ต่างคนต่างพบเจอเรื่องราวมากมาย ที่แตกต่างกันไป ชีวิตคนเรามีทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งสมหวังและผิดหวัง ไม่มีใครที่จะดีพร้อมและเพียบพร้อมเสมอไป

"กำลังใจจากไหนไม่เท่า กำลังใจจากพ่อและแม่"

หมายเลขบันทึก: 351093เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2010 20:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

สวัสดีครับ คุณครูพรพรรณ ;)

มาเยี่ยมตามความคิดเห็นที่ได้แจ้งไว้ ... บันทึกนี้สั้นกว่าบันทึกแรกเนอะ ;)

ครูแนะนำอย่างนี้ครับ (ดูจากบันทึกแรกด้วย)

1. ไม่ต้องเว้นบรรทัดมากเกินไปครับ เอาพองาม

2. ลองจัดและตกแต่งบันทึกให้ดูน่าสนใจดูครับ เช่น เน้นคำ เปลี่ยนสีตัวอักษรในคำที่เราต้องการเน้นความ

3. บันทึกที่มี "ผู้ไม่แสดงตน" มากเกินไป อาจจะต้องเปิดให้แสดงเฉพาะสมาชิกดีไหมครับ เพราะเราอาจจะพลาดเจอคนที่ไม่หวังดีก็ได้

เดี๋ยวจะกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งนะครับ

ลองปรับดูครับ ;)

  • อ่านแล้วสำนวน น่าอ่านดีครับ ครูบัวขาว เป็นเรื่องชีวืตสั้น ๆ  ประมวลว่าเขียนจากใจ.....ไร้เดียงสาดี  มีสรุปด้วยข้อคิด "เรื่องการประหยัด"   ก็ดีแล้วนิครับ.....ฝึกไปเรื่อยย  ๆ  จะดีเองครับ....

ขอบคุณคะ คุณดอกรัก ดอนตรอ

กำลังหัดเขียนนะคะ และจะฝึกหัดเชียนไปเรื่อยๆ คะ อย่าลืมติดตามด้วยนะคะ

ขอบคุณคะ อาจารย์Ongkuleemarn

แล้วจะปรับแก้ตามที่ได้เสนอแนะไว้นะคะ

  • สวัสดีค่ะ คุณดอกบัวขาวP
  • มาขอบคุณที่ไปทักทายค่ะ
  • มาอ่านเรื่องเล่าในอดีตที่เป็นแรงผลักดันและกำลังใจให้ก้าวเดิน
    แบบอย่างชีวิตของพ่อแม่นั้นมีอิทธิพลต่อลูกเสมอ
  • ขอบคุณค่ะ

  • น้องครู P เขียนดีนะ   น่าติดตาม  สำนวนอย่างนี้  เขาเรียกว่านักเขียน เรื่องสั้นไง ..ให้น้องครูยึดถือแนวนี้จะไปได้สวย  ผมว่านะ....สำนวนกะทัดรัดเป็นเหตุเป็นผลกันอ่านแล้วราบรื่น  ไม่สะดุด  ก็ดีแล้วนะครับ....ค่อยติดตามบทเรื่องสั้นต่อไป...นะ...ส่วนลีลาของใครตามสไตล์  อาจดูเป็นศิลปะก็ได้ เสรีทางความคิด

ก๊อกๆๆเปียกยังอ่ะ..

มีความสุขมากๆน่ะค่ะ..

ขอขอบคุณ คุณธรรมทิพย์, คุณดอกรัก ดอนตรอ และคุณครูบันเทิง มากนะคะ

ที่มาแวะอ่านและมาแวะให้กำลังใจคะ

เขียนได้ดีครับถ้ามีเรื่องไรมาแบ่งปันนะครับ

วัสดีค่ะ

  • เขียนได้ใจความดีค่ะ แม้ว่าจะค่อนข้างสั้น
  • เป็นกำลังใจให้นะคะ

ขอบคุณ ครูเพื่อชีวิต

หากมีเรื่องไรดี ๆ จะแบ่งปันอีกนะคะ

ขอบคุณคะ ครูคิม สำหรับกำลังใจ

จะพยามปรับปรุงให้ดีขึ้นคะ

เป้นบันทึกที่มีค่ามากเลยค่ะน้อง...

"อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่ารอคอยวาสนา "

เป็นคำเดียวกับที่แม่พี่จรรย์สอนตั้งแต่เด็กๆ แต่ยาวกว่านิดหน่อยคือ

"อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่ารอคอยวาสนา" เหตุเพราะมีลูกชายของคนบนตึก (บังเอิญ ไปเช่ากระต๊อบอยู่หลังตึกเศรษฐี) เขาใช้นาฬิกาปลุก ซึ่งเสียงดัง 3 บ้าน แปดบ้าน ก็ยังไม่ตื่น แม่บ้านต้องไปลากออกจากที่นอนเพื่ออาบน้ำแต่งตัว ป้อนข้าว จึงไปโรงเรียน

ชีวิตเขากับเรามีส่วนต่างและส่วนเหมือนบางแง่มุม) เราตื่นแต่เช้า ตี 5 โดยไม่ต้องมีใครปลุก เขาเรียนโรงเรียนเอกชน แต่ไม่จบ(เราเรียนโรงเรียนวัด จบสอบได้ที่ 1) กิจการของพ่อแม่เขาเขาสานต่อไม่ได้ (เราก็ไม่ได้สานต่อเพราะแม่อยากให้รับราชการเป็นพยาบาล แม่คงคิดว่าสบายกว่าเป็นจับกังหรือทำขนมขายเหมือนแม่) เขาได้แต่งงานแบบคลุมถุงชน มีลูกแต่เลี้ยงเองไม่ได้ ต้องยกให้ญาติ (เราได้แต่งงานแบบตามใจแม่ และไม่มีลูก แต่ช่วยเลี้ยงลูกให้น้องชาย) ดีทีภรรยาเขาเป็นนักสู้ ออกหน้าทำมาค้าขายโดยให้เขาเป็นคนขับรถพาไปอย่างเดียว(สามีเราก็เป็นนักสู้ และชอบให้เราเป็นกำลังใจ)

*** อย่างไรก็ดี พี่จรรย์อยากบอกว่าคำสอนและการเลี้ยงดูของพ่อแม่เราที่ฝึกให้เราลำบากแต่เล็กๆ มันช่วยให้เรามีความอึด สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างได้อย่างดีค่ะ***

และนี่คือรางวัลสำหรับน้องบัวขาวที่เขียนบันทึกดีๆ ค่ะ

http://gotoknow.org/blog/manorom/351155

 

กำลังใจจาก พ่อและแม่ สำคัญเสมอครับ

ท่านจะคอยเตือน สติ เราอยู่เสมอ

สู้ ๆๆๆๆๆๆ

ขอบคุณ ฺBy Jan

ที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต

และได้ฝากแง่คิดดีๆ ไว้นะคะ

ขอบคุณ ไม้แซ่

ที่มาให้ข้อคิดและกำลังใจนะคะ

เป็นกำลังให้สู้ต่อไปค่ะ

ขอบคุณ Trendwatching ที่แวะมาให้กำลังใจคะ

ขอบคุณคะ คุณศิลป์"สติ"

พอดีได้รูปมาจากพี่ชายที่น่ารักคนหนึ่งคะ

ใจดีเอารูปมาให้ตกแต่งคะในงานเขียนนี้

ขอขอบพระคุณพี่ชายมา ณโอกาสนี้ด้วยนะคะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท