นอกเหนือจากเรื่องสื่อและกระบวนการเรียนรู้แล้ว ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องให้ความสนใจ สิ่งนี้เป็นเรื่องในห้องเรียนและไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี นั่นก็คือเรื่องการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น นักการศึกษาหลายคนเห็นตรงกันว่า โรงเรียนแบบเก่ามักเน้นการแสดงออกรายบุคคลและการแข่งขัน อันเป็นการกีดกันเด็กจากความร่วมมือกันนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เหินห่างระหว่างเด็ก
ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ซึ่งผ่านการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาระยะหนึ่ง ต่างก็มีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ คอมพิวเตอร์อาจมีแนวโน้มลดทอนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ลงไป หากว่าไม่ตระหนักถึงปัญหานี้
เพื่อให้ภาพการเรียนและการใช้เทคโนโลยีในห้องเรียนชัดเจนขึ้น เราอาจดูสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ ณ พื้นที่บางแห่ง ในสหรัฐอเมริกาเมื่ออย่างเข้าปี 2000 โดยคำนึงถึงว่า การจัดการศึกษาของสหรัฐอเมริกา เกิดจากความพร้อมด้านทุนและเทคโนโลยีเป็นฐาน
ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ห้องเรียนกำลังก้าวเข้าสู่ระบบไม่ใช้ห้องเรียนหรือเพียงแต่เหมือนมีห้องเรียน ( virtual classroom ) กล่าวคือ การเรียนรู้กำลังเปลี่ยนไปเป็นระบบทางไกล ( long distance ) นักเรียน นักศึกษาใช้ระบบเครือข่ายวีดิทัศน์ที่เชื่อมโยงด้วยสัญญาณดิจิตอลความเร็วสูง เลือกบทเรียนหัวข้อใดก็ได้ทุกเวลา ระบบนี้เชื่อมโยงห้องเรียน 3400 ห้องเรียนเข้าด้วยกันกับวิทยาลัย ห้องสมุด โรงพยาบาล และข้อมูลภาครัฐ เด็ก ๆ จะได้เรียนภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์กับครูซึ่งอาจอยู่ไกลออกไปหลายร้อยไมล์ คาดหมายกันว่าอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาจะคอยกำกับดูแลนักเรียนโดยผ่านระบบเครือข่าย ครูในห้องเรียนมัธยมจะจัดการทดลองและอภิปรายถกเถียงร่วมกับนักเรียนหลายห้องพร้อม ๆ กัน โดยครูจะอยู่ที่แม่ข่ายศูนย์กลางของระบบ และนักเรียนหลายโรงเรียนก็สามารถจะแลกเปลี่ยน ผลการเรียนรู้ ทัศนะและข้อคิดเห็นระหว่างกันได้ รวมทั้งตั้งขึ้นเป็นกลุ่มชมรม สมาคม โดยเพียงแต่ติดต่อผ่านระบบสื่อสารเครือข่ายนี้โดยไม่ต้องเดินทางไปพบกัน
<div style="text-align: center">
</div><div align="left"><address style="text-align: center"> ภาพโครงการ Jason Project นี้ นักสมุทรศาสตร์คือ โรเบิร์ต บัลลาร์ด จะสื่อสารโต้ตอบกับเด็ก ๆ นับร้อยนับพันโดยระบบ real time ( ในขณะที่กำลังทำงานจริงๆ) และในขณะที่บรรดานักสมุทรศาสตร์กำลังสำรวจโลกใต้มหาสมุทรอยู่นั้น เด็ก ๆ ก็ได้ดูภาพการสำรวจโลกที่เกิดขึ้นจริง ๆ ใต้มหาสมุทรนั้นนับว่าเป็นการเรียนรู้ที่น่าตื่นเต้นมากทีเดียว
</address></div><p align="left"></p><p align="left">
การใช้เทคโนโลยีวิธีนี้สามารถกระตุ้นให้การเรียนรู้มีความหมายกว้างขวางกว่าเดิม การเรียนโดยการค้นพบด้วยตนเอง ( discover-oriented learning ) เกิดขึ้นได้เพราะว่าระบบคอมพิวเตอร์ทำให้เราสามารถอภิปรายถกเถียงกันในระบบเครือข่ายนั่นเอง นักเรียนอาจจะทำงานเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อแก้ปัญหาโจทย์ต่าง ๆ และใช้คอมพิวเตอร์นำผลการศึกษามาเปรียบเทียบกันโดยข้อมูลของแต่ละคนถูกเก็บไว้พร้อมใช้ในระบบดิจิตอลบนคอมพิวเตอร์ </p><p> เทคโนโลยีระบบเครือข่ายที่ก้าวหน้าแบบนี้ยังอาจเป็นไปไม่ได้ในประเทศไทยระบบการสอนทางไกลแบบที่เห็นตัวอย่างจากโรงเรียนในรัฐแคโรไลนานั้นเป็นระบบสื่อสารสองทางซึ่งต้องลงทุนสูงอยู่เหมือนกัน ปัญหาไม่ได้อยู่เพียงการเชื่อมโยงเครือข่ายเข้ากับพื้นที่ชนบทเท่านั้นแต่ยังอยู่ที่ความสามารถของบุคลากรในการใช้งานและที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรอื่น ๆ ที่จะเข้าเชื่อมโยงในเครือข่ายและนำทรัพยากรข้อมูลและองค์ความรู้ต่าง ๆ มาบรรจุลงไว้ อันจะเป็นเนื้อหาจุดประกายความสนใจและการค้นหาเพื่อการเรียนรู้จากเครือข่ายนี้ </p><p> ในกรณีของประเทศไทยเรามีระบบการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม ( ETV ) แต่ยังไม่ได้ก้าวสู่ระบบสื่อสารสองทาง และน่าสังเกตว่าการสอนทางไกลของเราจำกัดอยู่ในพื้นที่ชนบทอีกทั้งซอฟต์แวร์หรือเนื้อหาและวิธีการที่ใช้ในการสอนในระบบนี้ ยังคงเน้นวิธีการสอนแบบบรรยายและจดเล็คเชอร์ หรือเป็นรายการเชิงสารคดี ทั้งลักษณะของรายการโทรทัศน์ก็เป็นการเน้นให้ข้อมูล ( informative base ) เป็นส่วนมาก ทั้งนี้ก็อาจเป็นเพราะข้อจำกัดด้านงบประมาณ อันมีผลต่อการวางแผนการเรียนการสอนและการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้</p><p>ห้องเรียนไทยในศตวรรษที่ 21 </p><p> เมื่อนึกว่าห้องเรียนไทยจะเป็นอย่างไรในทศวรรษใหม่นี้ ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีสังคมลักษณะทวิลักษณ์ จึงมีสังคม 2 ภาพอยู่ด้วยกัน โรงเรียนห่างไกลในภาคชนบทจะยังมีการเปลี่ยนแปลงน้อย ความจำกัดของบุคลากรและงบประมาณจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการแพร่ขยายอิทธิพลของเทคโนโลยีเองโดยอัตโนมัติ แต่ในภาคเมืองและเมืองใหญ่สภาพการณ์อาจตรงกันข้าม นั่นคือ ห้องเรียนจะเปลี่ยนไปใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายมากขึ้น </p><p> รายงานของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติได้พบว่า ในปี พ.ศ. 2543 ประเทศไทยมีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ 18.19 เครื่องต่อประชากร 1000 คน มีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น 1,127,500 เครื่อง และมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ต 1.25 เครื่องต่อประชากร 1,000 คน หรือเป็นจำนวนคอมพิวเตอร์ 76,000 เครื่อง </p><p> ตัวเลขข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น และพอจะมองเห็นภาพว่า ยังกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ และเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ</p><p>ห้องเรียนไทยในปี 2000 </p><p> แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าโรงเรียนจะตั้งอยู่ในเมืองหรือในชนบท ก็มักจะหนีคอมพิวเตอร์ไปไม่พ้นในที่สุดมันก็มักจะมาตั้งอยู่ในโรงเรียนจนได้ อย่างน้อยก็หลายเครื่อง บางโรงเรียนก็ได้บริหารจัดการอย่างเต็มที่และได้รับผลสำเร็จบางประการจากการมีและใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทันสมัยนี้ แต่บางโรงเรียนอาจมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งไว้เฉย ๆ ไม่มีงบประมาณจะดูแล ไม่มีงบประมาณจะจัดซื้อและอัพเกรด( upgrade ) ซอฟต์แวร์ ตลอดจนไม่มีใครใช้คอมพิวเตอร์เป็นอย่างจริงจังพอที่จะนำคอมพิวเตอร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ </p><p> <div style="text-align: center"></div></p><p> คอมพิวเตอร์อาจถูกวางอยู่แบบไร้ความหมายในห้องปฏิบัติการไม่มีทรัพยากรที่อบรมครู ผู้คนไม่รู้จะเอามาใช้ประสานกับหลักสูตรได้อย่างไร ไม่มีมาตรฐานหลักสูตรที่จะใช้ หรือคอมพิวเตอร์อาจถูกใช้เพื่อการฝึกทักษะซ้ำ ๆ มากกว่าจะใช้เพื่อขยายความคิดและแก้ปัญหาต่าง ๆ </p><p></p><p>ที่มา : พรพิไล เลิศวิชา.มัลติมีเดียกับโรงเรียนในศตวรรษที่ 21,พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพฯ:2544</p><p> </p>
รูปแบบเอ็กทำได้ดีนะ ในคิดเห็นเราเราว่าน่าจะใช้สีเดียวหรือไม่ก็ไม่ต้องใช้สีสลับกันไปมา มันดูแล้วอ่านอยากลายตา