ยิ่งได้รับรู้เรื่องราวความไม่ราบรื่นของอุดมศึกษา ในเรื่องเงินๆ ทองๆ และผลประโยชน์ ทำให้ผมเห็นชัดว่า จุดอ่อนอย่างหนึ่งคือหน่วยงานอิสระ ที่ฝ่ายบริหารเอามาเสนอสภามหาวิทยาลัย ให้อนุมัติเป็นโครงการพิเศษ ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของสภามหาวิทยาลัย
เรื่องมักจะเกิดขึ้นเพราะฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย และฝ่ายจัดการโครงการพิเศษ คิดว่า เมื่อเป็นโครงการพิเศษ ก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบใดๆ เป็นความคล่องตัวและอิสระของฝ่ายบริหารที่จะตัดสินใจอย่างไรก็ได้ แล้วก็จะเกิดข้อครหาในเรื่องผลประโยชน์ที่มิชอบ เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และเรื่องการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับหรือกฎกติกาใหญ่ ที่ครอบคลุมวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง
นี่คือความเข้าใจผิด คิดว่าชื่อ “โครงการพิเศษ” จะคุ้มครองให้ปลอดจากกฎเกณฑ์กติกาใดๆ
จริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะทำกิจการใดๆ พิเศษหรือไม่พิเศษแค่ไหนก็ตาม มีหลักการสำคัญคือ ต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีกฎกติกาให้ยึดถือ และให้ฝ่ายตรวจสอบมีหลักยึดสำหรับตรวจสอบ นั่นคือ โครงการพิเศษต้องมีการออกข้อบังคับที่อนุมัติโดยสภามหาวิทยาลัย สำหรับใช้กำกับโครงการพิเศษนั้น และต้องหาทางเชื้อเชิญให้หน่วยตรวจสอบภายในของมหาวิทยาลัยเข้ามาตรวจสอบ เพื่อช่วยปกป้องผู้บริหารโครงการ ไม่ให้ดำเนินการแบบที่อาศัยความคล่องตัว ทำงานที่จะถูกกล่าวหาว่าทุจริตหรือปฏิบัติมิชอบ
ในสายตาของผม (ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด) โครงการพิเศษคือโครงการที่มีความเสี่ยงสูง จึงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง และมีระบบตรวจสอบที่เข้มงวดช่วยลดความเสี่ยง
ผมมองว่า ผู้ตรวจสอบภายใน และผู้ตรวจสอบภายนอก คือผู้ที่เข้ามาช่วยปกป้องผู้บริหารให้ไม่ตกอยู่ใต้ภาวะเสี่ยงสูง ให้สามารถทุ่มเททำงานที่แปลกใหม่นั้นได้อย่างสบายใจ ว่าจะไม่ถูกกล่าวโทษหรือต้องคดีโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
วิจารณ์ พานิช
๔ มี.ค. ๕๓
ไม่มีความเห็น