ที่จริงแล้วในชุมชนต่าง ๆ ที่เราชาวเมืองทั้งหลายสมมติเรียกพวกเขาว่า “ชาวชนบท” นั้น ชุมชนเขามีความเป็นอยู่ที่พอดีและ “พอเพียง” กันอยู่แล้ว
เมื่อเราผู้ที่สมมติเรียกตนเองว่า “ปัญญาชน” ที่ได้ไปรู้ ไปเห็น หรือได้อยู่ในสังคมที่ “ศิวิไลซ์” ได้สร้างกรอบมาตรฐานคุณภาพชีวิตใหม่ ๆ จากประเทศ จากสังคมต่าง ๆ ที่เจริญก้าวหน้าไป จึงกลายเป็นว่าเราไปว่า “ชาวชนบท” ของเรา “ไม่พอเพียง”
ดังนั้น เราทั้งหลายจึงมองว่าชาวชนบทนั้นมีปัญหา เขามีปัญหาก็เพราะว่าเรานำกรอบมาตรฐานของเราไปครอบลงในวิถีชีวิตของเขา
เรานำกรอบมาตรฐานทางด้านรายได้ การศึกษา และเศรษฐกิจไปครอบลงในวิถีชีวิตของชุมชน เมื่อกรอบนี้ถูกนำไปประเมินจึงทำให้เรามองว่าชุมชนนั้นอยู่ “ต่ำกว่าเกณฑ์” แต่ในทางกลับกัน ถ้าชุมชนเขายกเอาเกณฑ์ทางด้านคุณธรรม จริยธรรมมาครอบหรือมาวัดกลุ่มคนที่สมมติตนเองว่าเป็นคนชั้นปัญญาชนอย่างเรานั้น ก็แน่นอนว่าพวกเรานั้น “ตกเกณฑ์จริยธรรม” เช่นเดียวกัน
การนำมาตรฐานของตนเองไปเป็นกรอบเพื่อวัดมาตรฐานของคนอื่นนั้น สิ่งนี้คือต้นเหตุของปัญหา
โดยปกติแล้วคนทุกคน ทุกชุมชน เขามีการปรับเนื้อ ปรับตัวให้กับสภาพแวดล้อมทางด้านกายภาพ ภูมิอากาศ สังคม สิ่งแวดล้อม ขนมธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้นี่เองเป็นความ “พอเพียง” ที่เป็น “ธรรมชาติ”
การนำกรอบมาตรฐานทางด้านรายได้ลงไปวัดรายได้ขั้นต่ำของชุมชนจึงเป็นตัวการสำคัญที่เรามักมองว่าชุมชนนั้นมีปัญหา รายได้ต่ำ รายได้น้อย ไม่พออยู่ พอกิน
ดังนั้นเราจึงต้องอัดฉีดเม็ดเงิน อัดฉีดโครงการทั้งทางด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการทางด้านวิชาการให้เข้าไปเพื่อสร้างรายได้หรือเม็ดเงินตามมาตรฐานที่เราสร้างกรอบแล้วครอบลงไป
ถ้าเราไม่หยุดนำกรอบของเราไปครอบลงบนหลังคาของชาวบ้านเขา เราเองก็จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “ความอยากแห่งการพัฒนา” อย่างไม่รู้จักจบ
ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่เราจะต้องกลับมานั่งย้อนคิดทฤษฎีที่เรามักคิดว่า “เขาโง่ เราฉลาด” เราจะได้ไม่พลาดที่จะไปพัฒนาเขาแต่หลงลืมพัฒนาตัวของเราเอง...
เราทุกคนควรจะกวาดหน้าบ้านของตนเอง
แวะมาเยี่ยมครับ
ฝากรูปฝีมือของชุมชนที่คิดเอง ทำเอง ใช้วัสดุจากชุมชน "ไม่สนงบประมาณ"
ขอยืมประโยคนี้ไปบอกคนแถวที่ทำงานหน่อนะค่ะ....ถ้าเราไม่หยุดนำกรอบของเราไปครอบลงบนหลังคาของชาวบ้านเขา
เราเองก็จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “ความอยากแห่งการพัฒนา” อย่างไม่รู้จักจบ....555+ ถูกใจจริง ๆ
ทำให้หนูย้อนคิดว่า หนูเอามาตรฐานของคนอื่น หรือ กรอบของคนอื่น มาครอบตนเองไว้อยูหรือเปล่านะ
โอ้ มันเป็นเช่นนี้จริง ๆด้วยค่ะ พอหนูหันไปเห็นว่า คน ๆ นั้นทำได้ดี ก็เหมือนกับว่า หนูเองนี่แหละที่ไปเอากรอบของคนอื่นมาครอบตนเอง แล้วก็รู้สึกว่า ท่าทางจะดี เหมือนเอาเสื้อผ้าของคนอื่นที่ไม่เหมาะกับตนเองมาใช้ แทบไม่รู้ตัวเลย
แล้วทำยังไงคะ หนูจึงจะพ้นการกระทำแบบนี้ หนูคงต้องฝึกตั้งสติให้มั่น หาตนเองให้เจอ กราบขอบพระคุณค่ะ
เมื่อคนเราทำอะไรตามความอยาก เหตุและผลก็มิต้องพูดถึง เพราะเมื่อความอยากครอบคลุมหัวใจของเราอยู่ เราจะหน้ามืดและตามัว
การพัฒนาใจของตนเองให้สะอาดทุก ๆ เมื่อต้องวางแผนที่จะต้องลงไปทำอะไรกับใครจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ตอนนี้นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่าชุมชนมีปัญหา จึงเหละโงลงไปแก้ปัญหากันยกใหญ่ บางคนก็ทำตามความอยาก อยากเพราะ "ร้อนวิชา" เห็นบ้าน เห็นเมืองอื่นเขาพัฒนาก็อยากให้บ้านเราพัฒนาบ้าง
แต่ก็อย่างที่ว่า ถ้าหากมีความอยากครอบงำ ก็จะหน้ามืด ตามัว อยากให้ทุ่งนาเปลี่ยนไปเป็นโรงงานอุตสาหกรรม เปลี่ยนคนให้เป็น "เครื่องจักร"
ไอ้เราเนี่ยแหละตัวปัญหา เพราะว่าเราคิดว่าเขามีปัญหา เขาก็อยู่ของเขาสบาย ๆ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ก็ยังไปว่าเขาเร่า ๆ ว่า "ด้อยพัฒนา" ต้องเปลี่ยนปลามาเป็น "แฮมเบอร์เกอร์"
ต้องลองย้อนถามตัวเองว่า ตอนกินแฮมเบอร์เกอร์นั้นแซบเท่าน้ำพริกหรือส้มตำปลาร้าหรือไม่
เดี๋ยวนี้เราอยากให้ทุกคนในประเทศหันไปกินแฮมเบอร์เกอร์ ก็มองว่าคนที่กินข้าวกับน้ำพริกผักต้มอยู่เป็นคนประหลาดกันไปหมด
การนำกรอบของคนอื่นมาครอบตนเอง อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งต้องพิจารณาให้ดี
ถ้ากรอบนั้นเป็นกรอบของ "พระอริยะ" หรืออริยะบุคคล ก็ควรที่จะครอบ ไม่ใช่ไปปฏิเสธ เพราะขี้เกียจ ขี้คร้าน ไม่อยากที่จะพัฒนาตนเอง
แต่ถ้าเป็นกรอบของคนเลว คนชั่ว คนที่ชอบทำตัวมั่ว ๆ ไปกับสังคม อันนี้เป็นกรอบของคนพาลที่จะนำทางเราไปในทางที่ผิด
รักษาศีลให้ดี ศีลจะทำให้เราเจอกรอบของคนดี ๆ...
หลาย ๆ คนมักจะอ้างว่า "เราก็เป็นแค่ปุถุชน" จะเอาอะไรกันมาก คนที่อ้างแบบนี้ไม่สมควรเกิดมาเป็นคน เพราะการได้เกิดมาเป็นคนนั้นเป็นโอกาสแห่งการ "พัฒนา"
ปุถุชน ถ้ามีความเพียร ความพยายาม ได้เจอบัณฑิตก็จะมีกรอบที่ดี สามารถพัฒนาตนให้เป็น "อริยะบุคคล" ได้