คนเราตายไปแล้วต้องการอะไร ??
สวัสดิการฌาปนกิจเมื่อเสียชีวิตเป็นเงินสวัสดิการก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่สมาชิกของกองทุนสวัสดิการชุมชนจะได้รับ และบางที่ก็กลายเป็น “จุดขาย” … น่าคิดว่า การให้สวัสดิการเช่นนี้ สะท้อนแนวคิดอะไรอยู่ข้างหลังบ้าง
เป็นการให้สวัสดิการ สร้างหลักประกันการยังชีพสำหรับครอบครัวที่อยู่ข้างหลัง ? ..หรือ เป็นการให้เงินสวัสดิการที่อาจถูกใช้จ่ายไปหมดสิ้นไปในการจัดงานฌาปนกิจ ? (ไม่รู้เรียกว่า “สวัสดิการ” ได้อย่างไร) .. นักวิชาการมองว่า เป็นการ “คืนเงินออม” ให้กับผู้วายชนม์ !! ฯลฯ
คนเราตายไปแล้วต้องการอะไร ?? แท้จริงเป็นเรื่อง “เงิน” สวัสดิการของคนที่อยู่ข้างหลัง ??
-----------------------
ในพิธีศพแบบพุทธในปัจจุบัน ... พิธีศพนั้นสร้างสวัสดิการอะไรบ้าง....
สำหรับคนที่เห็นความสำคัญของงานศพมากกว่างานแต่งและงานบุญอื่นๆ เราไม่เคยพอใจกับพิธีศพแบบที่จัดๆกันอยู่ในปัจจุบัน และตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจัดงานแบบอื่นได้ไหม
..แบบที่เจ้าภาพกำหนดรูปแบบของงานเองได้ แบบที่เรียบง่าย ให้เกียรติและเรียนรู้จากผู้วายชนม์ สร้างมรณานุสติ...สร้างสติให้คนอยู่หลัง มากกว่าการสวดที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจ การเร่งรัดทำเวลาเพื่อให้เสร็จๆตามพิธีอย่างงานศพในกรุงเทพฯ หรือมีมหรสพรื่นเริงอย่างงานในต่างจังหวัด...
----------------------------
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้ร่วมงานศพ ... เป็นงานที่ดีที่สุดเท่าที่เคยได้เข้าร่วมมา...
ที่นั่น ลูกหลานเป็นพิธีกรของงาน ลูกร้องเพลงอุทิศให้ เชิญแขกผู้มาร่วมงาน 2-3 ท่านขึ้นมากล่าวถึงผู้วายชนม์
บาทหลวงคริสต์พูดถึง ความรักในพระเจ้า การรักษาคำสอนของพระเจ้า และการรับใช้พระเจ้า …. “3 ร” ..เป็นการแยกแยะ "ความศรัทธา" ออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมมาก
ผู้มาร่วมงานคนหนึ่งกล่าวว่า .. ผู้วายชนม์มีอายุมากแล้ว แต่ท่านมารับใช้พระเจ้าผ่านการเป็นอาสาสมัครพับผ้าก๊อซให้กับโรงพยาบาลอยู่เป็นนิจ ... เป็นการเล่าถึงการทำความดีด้วยการทำงานชิ้นเล็กๆแต่คุณค่ายิ่งใหญ่มากในความรู้สึกของเรา ไม่ใช่การทำดีด้วยการบริจาคเงินทำบุญ ...
…“งานศพนั้นดีกว่างานรื่นเริง เพราะให้สติ” ….แนวคิดนี้ไม่ต่างจากพุทธ
....ทุกคนชอบรับพร แต่จงเป็น “ผู้เป็นพร” มากกว่าเป็นเพียง “ผู้รับพร” .. บาทหลวงสอน
ผู้มาร่วมงานได้ร้องเพลงสวด สมาชิกโบสถ์ของผู้ตายมาร้องเพลงพิเศษ สมาชิกจากต่างโบสถ์มาร้องเพลงพิเศษอีกเพลง ดอกไม้งานศพสวยงามมาจากเพื่อนร่วมโบสถ์ นักเปียโนฝีมือเยี่ยมที่มาช่วยบรรเลงเพลงก็เป็นเพื่อนร่วมโบสถ์
เวลาผ่านไปสองชั่วโมง ...
เท่าที่ทราบนั้น สมาชิกโบสถ์ ผู้ร่วมร้องเพลง ผู้ร่วมเล่นดนตรี บาทหลวงผู้เทศน์ พวกเขาส่วนใหญ่เป็น "ชุมชน"คือร่วมโบสถ์เดียวกัน เขาล้วนทำให้เพื่อผู้วายชนม์ด้วยรัก ไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย เว้นแต่ค่าอาหารว่างเล็กน้อยสำหรับแขก
...และเนื่องด้วยการเลี้ยงดูบุตรอย่างเอาใจใส่ให้ทุกคนเคร่งครัดในความดี รักพระเจ้าและรับใช้พระเจ้าด้วยการทำความดี
“สวัสดิการ”ที่ผู้วายชนม์ได้รับ คือ การไปอยู่กับพระเจ้า ...สบายใจกับลูกหลานที่ประสบความสำเร็จ มีกัลยาณมิตรมาร่วมงานด้วยรักและอาลัยในวันสุดท้ายจนร่างฝังดิน และทุกคนที่มาร่วมงาน ก็ได้ “สวัสดิการ” คือ ..สติและข้อคิดดีๆจากการมาร่วมพิธีศพนี้
...นี่คือ "สวัสดิการยามตาย" ที่เราสรุปได้จากการร่วมพิธี..
สวัสดีครับอาจารย์
ผมสังเกตเรื่องนี้มาสักพักหนึ่งแล้วหลังจากได้ฟังเพื่อนเล่าถึงงานศพแบบคริสต์ ผมเดาเอาเองว่าคนทางฝั่งตะวันตกคุ้นเคยกับการพูดในที่สาธารณะมากกว่าทางตะวันออก และรู้สึกสะดวกใจกับการเปิดเผยและแสดงออกทางอารมณ์ (หลายๆ ครั้งผมเห็นคนใหญ่คนโตในบ้านเราทั้งภาครัฐและเอกชนถูกเชิญไปพูดงานต่างๆ ก็ยังพูดกันไม่ค่อยจะคล่อง วัฒนธรรมการเคารพอวุโสและการไม่รับฟังความคิดของผู้อ่อนกว่าก็อาจมีส่วนให้คนฝั่งตะวันออกเลือกที่จะปิดปากเงียบด้วย ว่าไหมครับ?)
การจัดงานแบบให้คนมากล่าวถึงความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับผู้ที่จากไปนั้นสร้างมิติของบุคคลให้ลึกและกว้างมากขึ้น การพูดถึงคุณงามความดีหรือเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตของผู้จากไปยังช่วยให้ผู้อยู่ข้างหลังตระหนักถึงภาระในชีวิต อาจจะช่วยกระตุ้นให้เขาเหล่านั้นหันมาสะสมประสบการณ์ดีๆ ช่วยเหลือคนรอบข้างในช่วงเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ ถือเป็นการเตือนสติอย่างที่อาจารย์กล่าวไว้ข้างต้น
ในทางจิตวิทยาการได้ทบทวนสรุปเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตของตัวและของคนที่จากไปก็ช่วยสรุปบทเรียนให้ชีวิต เพื่อจะเปิดบทใหม่ให้ชีวิตได้ดำเนินต่อไปอีกด้วย
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์วสะ
ที่เขียนไปนั้นเป็นความเห็นของคนพุทธที่ได้มีโอกาสเข้าโบสถ์คริสต์ 4 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเด็ก เพื่อนชวนไปเยี่ยมชมโบสถ์อัสสัมชัญบางรัก ครั้งที่สองพาคณะจากติมอร์เลสเตไปสวดมนต์ที่โบสถ์ที่จันทบุรี ครั้งที่สาม ไปงานศพแบบคริสต์ที่พนัสนิคมแต่จัดที่บ้าน ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ เป็นโบสถ์ใกล้ รร.กรุงเทพคริสเตียนค่ะ
ครั้งที่สามกับครั้งที่สี่นั้น เป็นการจัดงานคนละรูปแบบกันเลยค่ะ เดาว่าคงขึ้นอยู่กับเจ้าภาพ ในขณะที่ของพุทธ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯจะมีรูปแบบคล้ายๆกัน โดยวัดเป็นคนกำหนด..
ความเห็นในเรื่องความคุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคยกับการพูดในที่สาธารณะเป็นข้อคิดเห็นที่น่าฟังค่ะ มันคงมีประเด็นนี้อยู่จริงๆสำหรับวัฒนธรรมของเรา แต่คิดอีกที คนพูดเก่งๆก็มีอยู่ไม่น้อยนะคะ ยิ่งพูดจากใจ หรือเตรียมการมาบ้างก็น่าจะพอพูดได้ เพียงแต่วัฒนธรรมของเราไม่นิยมให้คน "แสดงความรู้สึก" กระมังคะ โดยเฉพาะในที่สาธารณะ
(แต่ทำไม เวลามาพูดอวยพรคู่แต่งงาน จึงทำได้ ยิ่งปัจจุบัน คู่หนุ่มสาวแต่งงาน ต้องมาฉายวิดีทัศน์เปิดเผยเบื้องหลังความสัมพันธ์..ยิ่งดูจะ "เข้าใจไม่ได้" ใหญ่ว่า .. ทำไปทำไม)
ธรรมเนียมการทำหนังสืองานศพก็เริ่มเปลี่ยนไป อาจซื้อหันังสือพระ หรืออื่นๆมามอบให้แทน แม้แต่ประวัติผู้วายชนม์สักหน้า บางครั้งก็ยังไม่เห็น ....
การจัดงานศพสะท้อนวิธีคิด ระบบคุณค่า ที่เปลี่ยนไปของสังคมไทยได้ดีค่ะ ...