การบรรยายประชุมวิชาการ เรื่อง ปัสสาวะบำบัด


โดย : นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล  

 

 

สรุปการบรรยายประชุมวิชาการกรมพัฒน์ฯ

เรื่อง "ปัสสาวะบำบัด"

โดย นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2548

เวลา 10.00 - 12.00 น.

ณ ห้องประชุมเบญจกูล กรมพัฒน์ฯ

 

    ผู้ที่พูดถึงน้ำปัสสาวะไว้มาก คือ พระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ เมื่อ 10 ปีก่อนเคยป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ท่านปฏิบัติสมาธิ พลังรังษีธรรม โดยการสูดลมหายใจกระตุ้นจักรต่าง ๆ และปฏิบัตินิสสัย 4 เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัสสาวะบำบัดโรคและท่านได้สวดมนต์เสียงดัง ๆ หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี มะเร็งที่ท่านเป็นก็สงบลง ปัจจุบันท่านอยู่มา 10 ปี แต่คนเราต้องดูที่บาปฐานของตนเองก่อนว่ามีอยู่แค่ไหน แต่พระอาจารย์สินห์ทน บวชตั้งแต่เป็นเณรทำสมาธิมาตลอดและเรียนมหาวิทยาลัยธรรมชาติที่อินเดีย ปฏิบัติสมาธิแกร่งกล้ามาก จนกระทั่งได้เป็นด๊อกเตอร์ ท่านฝึกสมาธิเป็นเวลา 40 – 50 ปี จนบำบัดโรคของท่านได้ แต่คนทั่วไปต้องรักษา หรือผ่าตัด ใช้แผนปัจจุบันด้วย และ ต้องรู้จักใช้พลังจิต พลังสมาธิมาช่วยได้ หรือจะใช้น้ำปัสสาวะบำบัดซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะทำกัน

 

 

น้ำปัสสาวะบำบัดเป็นศิลป์และศาสตร์ ของการดำเนินชีวิตคนทั่วโลกมานานแล้วและมีตั้งแต่พุทธกาล ในอินเดีย 3,000-5,000 ปี โยคี, อายุรเวท มีการปฏิบัติใช้ปัสสาวะบำบัด โยคีในช่วงที่ขับพิษหรือบัญจกรรม ได้ใช้น้ำปัสสาวะด้วย เชื่อว่าเป็นการล้างพิษในร่างกาย

 

 

     ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ระบุทางนิสัย 4 ไว้เป็นคำบอกอนุศาสน์ในพิธีอุปสมบทที่พระอุปัชฌาย์จะต้องบอกให้กับพวกเณรใหม่ การปฏิบัตินิสัย 4 คือ สิ่งที่พึ่งทำ ได้แก่

 

1. บังสุกุลจีวร ผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะหรือตามป่าช้า

2. ปิณฑิยาโลปโภชนะ โภชนาที่ได้มาด้วยกำลังปลีแข็ง คือการ บิณฑบาต

3. รุกขมูลาสนาสน การอาศัยใต้โคนไม้

4. ปูติมุตตเภสัช ยาจากน้ำมูตรเน่าหรือปัสสาวะ

 

การดื่มน้ำปัสสาวะกับการแพทย์พื้นบ้านชาติต่าง ๆ

 

 

การแพทย์แผนจีน ดื่มน้ำปัสสาวะเด็กผู้ชาย สำหรับคนอ่อนเพลียเบื่ออาหารเรื้อรัง

อายุรเวทย์ หลักอมาโรลิ ดื่ม ทา น้ำปัสสาวะโยคะ ให้ดื่มร่วมกับการอด

การแพทย์พื้นบ้านไทย ใช้น้ำปัสสาวะเป็นยาดองกับสมอเพื่อบำรุงโอสถ

คัมภีร์ไบเบิ้ล (คติพจน์ที่ 5 : 15 ) สูจงดื่มน้ำจากแหล่งน้ำและธารไหลจากร่างกายของตนเอง

 

 

มีการประชุมระดับโลกว่าด้วยการดื่มน้ำปัสสาวะของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่อินเดีย เยอรมัน และบราซิล ในที่ประชุมมีข้อคิดที่น่าสนใจว่า “มุมมองใหม่ของน้ำปัสสาวะ”

 

 

ไต คือ อวัยวะปรับสมดุลของสสารในร่างกาย น้ำ เกลือ ยูเรีย เอนไซม์ ฮอร์โมน และ แร่ธาตุ อื่นที่กินในขณะนั้นให้ออกจากร่างกาย

 

ส่วนประกอบของน้ำปัสสาวะ

 

 

95 % เป็นน้ำ, Urea 2.5%, สารอื่นๆ 2.5% แยกส่วนประกอบ (มก.) ในน้ำปัสสาวะ 100 ซีซี.

1. Urea Nitrogen 682                         9. Sodium 212.00

2 .Urea 1,459                                   10. Potassium 137.00

3. Creatinine nitrogen 36                   11. Calcium 19.50

4. Creatinine 97.20                            12. Magnesium 11.30

5. Uric acidnitroger 12.30                   13. Chloride 314.00

6. Uric acid 36.90                              14. Total Sulphate 91.00

7. Amino nitrogen 9.70                      15. Inorganic sulphate 83.00

8. Ammonia nit 57.00                        16. Inorganic phosphate 127.00

สารอื่นๆ ในปัสสาวะ

 

 

เอนไซม์

- Amylase ( diastase )

- Lactic dehydrogenase ( LDH )

- Leucine amino – peptidase ( LAP )

- Urokinase

ฮอร์โมน

* Catecholamines

* 17- keto steroids

* Hydroxy – steroids

* Erythropoietine

* Adenylate cyclase

* Prostaglandin

* Sex homones

 

ประโยชน์ของสารแต่ละอย่าง

 

 

Urokinase - สารละลายลิ่มเลือด รักษาเส้นเลือดอุดตัน

Erythropoitin - สารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง

Adenylate cyclase - ประสานการทำงานฮอร์โมนและ สร้าง Cyclic AMP

Prostaglandin - สารประจำเนื้อเยื่อ ควบคุมการอักเสบ การรับรู้ความปวด การจับตัวของลิ่มเลือด

Sex homonesและInsulin - พบได้ในน้ำปัสสาวะด้วย -

Melatonin - พบในปัสสาวะเช้า ช่วยจิตใจสงบ หลับสบาย

Urea - เป็นสารต้านอักเสบ ต้านไวรัส และแบคทีเรียทำให้ผิวหนังอ่อนเยาว์ใช้น้ำปัสสาวะรักษาแผลไฟไหม้ , แผลเบาหวาน

Uric acid - สารต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง

 

บริษัทชั้นนำของโลกที่กำลังค้นคว้า การสกัดเอนไซม์และฮอร์โมนจากปัสสาวะมาเป็นยา ได้แก่

 

- Porta – John Co.ltd

- Enzyme of America

- Sandoz

- Merrell Dow

- etc.

 

คาดการณ์มูลค่าในตลาดของผลิตภัณฑ์จากปัสสาวะ คือ $ 500 ล้าน / ปี

 

กลไกการรักษาโรคของการดื่มน้ำปัสสาวะ ใช้หลักทฤษฎี การใช้พิษกระตุ้นการสร้างสารต้านพิษ และทฤษฎี Homeopathy

 

 

วิธีใช้ หลักทั่วไป : น้ำปัสสาวะของตนเองเก็บตอนกลาง 100 ซีซี .ดื่มก่อนนอน อีก 100 ซีซี. ดื่มตอนเช้า อาจร่วมกับการทา เจือน้ำอาบ

 

 

    โฮมีโอพาธี พัฒนาการจากแพทย์ชื่อ ฮันนีมาน ประเทศเยอรมันเมื่อ 200 ปีมาแล้ว ทดลองกับตัวเองโดยกิน ควินินแล้วเกิดการไข้หนาวสั่น ใช้ตอบโต้กับโรคมาลาเรีย เป็นการใช้พิษต้านพิษ เหมือนกับ หัวหอม กระเทียม ทำให้น้ำตาไหล เรานำหอม กระเทียม มารักษาหวัด ใช้พิษต้านพิษ เอาสิ่งที่ร่างกายเกิดอาการหนึ่งแล้วเอามารักษาโรคนั้น ฮันนีมานจึงมาทดลองกับสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ถ้าชนิดไหนกินแล้วอาเจียน น่ามารักษาอาการแพ้ท้อง ชนิดไหนกินแล้วปวดศีรษะนำมารักษาโรคไมเกรน แต่ต้องนำไปเจือจางก่อน เช่น นำน้ำควินินมา 1 หยดมารวมกับน้ำ 99 หยดแล้วเขย่า นำน้ำขวดแรกที่มีการเจือจาง 100 เท่า หรือ 102 แล้วนำขวดที่ 1 มา 1 หยดในน้ำ 99 หยดในขวดที่ 2 มีการเจือจาง 1 ใน 10,000 หรือ 104 ต่อไปขวดที่ 3 มีการเจือจาง 1:1,000,000 หรือ 106 ทำอย่างนี้ต่อไปอีก 12 ครั้ง คือ 1024 เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางฟิสิกส์ คือ มวลสาร 1 โมล จะมีจำนวนโมเลกุล 1023 แต่น้ำมีการเจือจาง 1024 แสดงว่าน้ำขวดที่ 12 มีการเจือจางจนไม่เหลือโมเลกุลของสารตัวแรก ทางโฮมีโอพาธี จะเจือจางจนครั้งที่ 100 ถึง 500 เจือจางจนไม่เหลือยาตัวแรกเลย แต่นำน้ำขวดสุดท้าย นำมารักษาโรคได้ผลกว่าสารต้นกำเนิดขวดแรกเสียอีก ราชวงศ์อังกฤษเจ็บปวดเล็กน้อย จะไม่รักษายาแผนปัจจุบันจะมีหมอประจำราชสำนัก คือ หลานศิษย์ฮันนีมาน เป็นหมอโฮมีโฮพาธี จะใช้น้ำประจุพลังการรักษาต้องเข้าใจความรู้เรื่องนี้ในเชิงการแพทย์ของไอสไตส์หรือควอนตัม ฟิสิกส์ คือ เมื่อ 1 หยด ละลายน้ำแล้วเขย่า ขณะที่เขย่าจะเกิดคลื่นสั่นสะเทือนที่บันทึกข้อมูลของโมเลกุลนี้ เมื่อเขย่าต่อไปหลายครั้ง ในน้ำขวดหลัง มีคลื่นสั่นสะเทือนที่ละเอียด จำโมเลกุลแรกอย่างละเอียดเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่พิมพ์ต้นแบบไว้ ขวดสุดท้ายจะมีแต่คลื่นพลังที่จำโมเลกุลแรกไว้ ถ้ากินเข้าไป มันเป็นคลื่นพลังที่แม่พิมพ์ที่พิมพ์เอาลูกพิมพ์ออกมาเป็นสารรักษาตัวเองในคนนั้น คือใช้หลักน้อยรักษามาก, พิษต้านพิษ

 

วิธีทำ น้ำปัสสาวะ 1 หยด ในน้ำ 1 ช้อนชา เขย่า 50 ครั้ง เป็นสาร A และสารA 1 หยดในน้ำ 1 ช้อนชา เขย่า 50 ครั้ง เป็นสาร B และสาร B 1 หยด ในเหล้าว๊อคก้า 1 ช้อนชา ( ใช้กันบูด ) เขย่า 50 ครั้ง ใช้รักษา ให้หยดสารรักษา 3 หยด ใต้ลิ้นทุก 1 ชั่วโมง จนอาการดีขึ้น หยุดดูอาการทุก 3 วัน

 

รักษาอะไรได้บ้าง

 

โรคหรืออาการที่การแพทย์แบบแผนไม่อาจรักษาเยียวยาได้ (เท่าที่ติดตามได้จากกรณีศึกษาต่าง ๆ)

อาการปวดเรื้องรัง : ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดไมเกรน ปวดเมื่อยไม่มีสาเหตุ

ภูมิต้านทาน : ภูมิแพ้ ผื่นคัน สะเก็ดเงิน รูมาตอยด์ SLE

แผล : แผลเบาหวาน แผลไฟไหม้

โรคในระบบร่างกาย : เบาหวาน มะเร็ง ลำไส้อักเสบเรื้อรัง

เบ็ดเตล็ด : ตกขาวจากเชื้อรา กลิ่นปาก กลิ่นตัว ดูแลผิวพรรณ เส้นผม

 

เรียบเรียงโดย : งานถ่ายทอดเทคโนโลยี กองการแพทย์ทางเลือก

สร้างเมื่อ 08 - ส.ค.- 48

http://www.dtam.moph.go.th/alternative/viewstory.php?id=113

แนะนำเวปกองการแพทย์ทางเลือก

http://www.dtam.moph.go.th/alternative/index.php

ขอบคุณข้อมูลจากกัลยาณมิตร

 

 

..........................................................................................................

หมายเลขบันทึก: 335045เขียนเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2010 14:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม 2012 17:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท