เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของในหลวง : ความรู้สึกของนายบอน


กี่ครั้งที่ได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของในหลวง
ในชีวิตนี้ของหลายๆคน มีคำถามสำคัญว่า มีโอกาสได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน..

กี่ครั้ง?

หลายคนอาจจะได้มีโอกาสอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของในหลวง ในช่วงที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร แต่นั่นก็เป็นเมื่อหลายปีที่แล้ว ในช่วงที่พระองค์เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เอง  แต่ในปัจจุบัน ได้ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จแทนพระองค์

หลายท่าน มีโอกาสได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ในหลวงหลายครั้ง เนื่องจากมีโอกาสได้เฝ้ารับเสด็จอยู่บ่อยๆ

นายบอนมีโอกาสได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของในหลวงถึง 4 ครั้งครับ ตอนที่นายบอนเป็นนักศึกษาอยู่ที่ มข.

4 ครั้งนี้ ไม่นับรวมถึงช่วงเวลาที่รอรับเสด็จรถยนต์พระที่นั่ง ในวันพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น  ซึ่งนักศึกษาปี 1 จะต้องไปตั้งแถวรอรับเสด็จที่ถนนทางเข้า ซึ่งในช่วงเวลานั้น พระองค์ท่านเสด็จผ่านไปอย่างรวดเร็ว ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่าน เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น

ซึ่งในช่วงเวลานั้น นายบอนเดินมาดูโทรทัศน์วงจรปิด มองพระองค์ท่านทางหน้าจอทีวี และจากข่าวในพระราชสำนักช่วง 2 ทุ่ม

ในตอนนั้น มีความฝันไว้ว่า อยากจะมีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของในหลวง ให้นานมากกว่าเสี้ยววินาทีสักหน่อย ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์ท่านมากขึ้น

ช่วงวันพระราชทานปริญญาบัตร หลังจากพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จ พระองค์ท่านจะเสด็จออกมาพระราชทานพระราชดำรัส กับเหล่านักศึกษาปี 1 ที่เข้าเฝ้าที่บริเวณสระน้ำ หลังสโมสรอาจารย์ ข้าราชการ ที่ศาลาพระราชทานปริญญาบัตรหลังเก่า ใน มข.  ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด

คงจะเป็นโอกาสเดียวกระมัง ที่จะได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด เพราะนักศึกษาปี 2 ไม่มีโอกาสได้มาเข้าเฝ้าเช่นนี้ เพราะนักศึกษาปี 1 นั่งเต็มไปหมด

ก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จพระราชดำเนินขึ้นรถพระที่นั่ง เดินทางกลับ ก็จะมีการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นเพลงประสานเสียง  จากชมรมนักร้องประสานเสียง มข. ยืนเรียงแถวร้องเพลงส่งเสด็จอยู่ที่มุมหนึ่ง

และในปีถัดมา ได้ยินประกาศเสียงตามสายใน มข. รับสมัครสมาชิกชมรมนักร้องประสานเสียง เพื่อร่วมร้องเพลงให้พี่บัณฑิตที่จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร และมีโอกาสได้เฝ้ารับเสด็จในหลวงอย่างใกล้ชิด

โอกาสดีๆแบบนี้ ใช่จะหาได้ง่าย ๆ นายบอนจึงเดินไปสมัครเป็นสมาชิกชมรมนักร้องประสานเสียงทันที ทั้งๆที่น้ำเสียงก็ไม่ได้ไพเราะมากมายถึงขั้นจะเป็นนักร้องกับใครเค้าได้ แต่ก็ได้อยู่ในระดับเสียงเทนเนอร์  (Tenor)

มีโอกาสได้ซ้อมร้องเพลง ของมหาวิทยาลัย เพลงสรรเสริญพระบารมีอยู่หลายรอบ

และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง ช่วงงานพระราชทานปริญญาบัตร กลุ่มนักร้องประสานเสียง ต้องไปยืนรับเสด็จที่ทางเข้า ลาดพระบาทสู่ห้องที่ประทับ เมื่อพระองค์เสด็จพระดำเนินผ่าน กลุ่มนักร้องประสานเสียงต้องถวายความเคารพทันที

ไม่นึกว่า จะมีโอกาสได้มายืนรับเสด็จพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้

ระหว่างที่พระองค์ท่าน เสด็จออกมาพระราชทานปริญญาบัตร กลุ่มนักร้องประสานเสียง มข. ก็จะยืนรออยู่แถวๆนั้น มีโอกาสได้เห็นทหารรักษาพระองค์ ที่ยืนตรง นิ่ง ไม่ไหวติงอยู่บริเวณนั้น

เวลาผ่านไป จนถึงช่วงค่ำ เมื่อพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จ พระองค์ท่าน เสด็จเข้าสู่ห้องที่ประทับ นายบอนและนักศึกษาที่ยืนรออยู่ด้านหลัง ต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ว่า พระองค์ท่านจะเสด็จออกมาเมื่อไหร่

เข้าเฝ้าปีแรก พระองค์ท่านเสด็จออกมาหลังจากพักไม่นาน แต่ในปีที่ 2 พระองค์ท่านใช้เวลาพัก นานมากๆ พระองค์ท่านคงจะเหน็ดเหนื่อยพอสมควร เนื่องจากทรงมีพระชนมายุที่เพิ่มขึ้น

ในช่วงเวลาที่รอคอย นายบอนได้มองเห็นการเตรียมการในบริเวณนั้น ตั้งแต่มหาดเล็ก ยกไมค์โครโฟนส่วนพระองค์ (ไม่ทราบว่า ใช้ราชาศัพท์ว่าอย่างไร) มาตั้งที่จุดที่ประทับ และเจ้าหน้าที่มีการซักซ้อมกับนักศึกษาปี 1 ที่นั่งอยู่หลายอย่าง

“เอ้า  ดูสัญญาณนะครับ ก้มลงกราบพร้อมกัน นับ 1 2 3 แล้ว ค่อยเงยขึ้นมาพร้อมๆกัน”

ในวินาที ที่พระองค์เสด็จออกมาที่บริเวณสระน้ำ  นักศึกษาปี 1 ได้ก้มลงกราบพร้อมกัน เป็นภาพที่สวยงามมาก หลังจากนั้น พระองค์ท่าน จะพระราชทานกระแสพระราชดำรัส ที่นายบอนฟังแล้วปลื้มปีติทุกครั้ง  ไม่นึกว่า จะเป็นพระราชดำรัสที่เข้าใจง่ายมากๆ

ในปีที่ 2 และ 3 ที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า นายบอนตั้งใจฟัง ทุกๆประโยคที่พระองค์ท่านกล่าวออกมา หลังจากเข้าเฝ้าแล้ว ตอนเย็นต้องกลับไปดูข่าวในพระราชสำนักอีกรอบหนึ่ง

ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนายบอนจริงๆ

และครั้งที่ 4 ที่นายบอนได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ท่าน คือ ช่วงเวลาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระองค์ท่าน ซึ่งในปีนั้น เป็นปีสุดท้าย ที่ในหลวงเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตร ที่ มข. นายบอนเคยได้ยินพระองค์ท่าน กล่าวว่า ต้องเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรให้บัณฑิตและมหาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยในต่าง จังหวัด เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้สำเร็จการศึกษาทุกคน

ในช่วงเวลาที่นายบอนเรียนปริญญาตรี ที่ มข. ผลการเรียนจัดได้ว่า ลุ่มๆดอนๆ ครั้งหนึ่งเคยถามตัวเองว่า เรียนไปเพื่ออะไร แต่เมี่อมีโอกาสได้ฟังพระราชดำรัสที่พระองค์ท่านพระราชทานให้ในวันนั้น

นายบอนเกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่ศึกษาเล่าเรียนมานั้น มีค่าที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ในห้องเรียน และประสบการณ์ชีวิตนอกห้องเรียน ที่ได้สัมผัส ในช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยขอนแก่น

ขอจงทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

หมายเลขบันทึก: 33442เขียนเมื่อ 9 มิถุนายน 2006 14:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน 2012 11:23 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
รัตน์ทวี อ่อนดีกุล

ขอตื้นตันใจด้วยคนค่ะ น้อยคนจริง ๆ นะคะที่จะมีโอกาสอย่างนี้

 

เก็บความทรงจำเอาไว้นะเพื่อน แล้วพวกเรามาทำความดีเพื่อถวายในหลวงของพสกนิกรไทยทั่วหล้า พระองค์ท่านทรงงานหนักมาก หวังให้พี่น้องไทยอยู่เย็นเป็นสุข มีความสมัครสมานสามัคคีกัน " รู้รักสามัคคี "

เป็นคนนึง ที่ จบ มข. และเป็นรุ่นสุดท้าย ที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหมื่อนกับ "นายบอน" นะคะ  ซึ่งเป็นสิ่งปลาบปลื้ม และยินดีเสมอมา

และเมื่อวาน (9 มิย) นั่งดูถ่ายทอดสดทางทีวีอยู่คนเดียว ตอนที่ประชาชนตะโกนก้อง "ทรงพระเจริญ" รู้สึกตื้นตัน น้ำตาไหลไม่รู้ตัว เป็นความรู้สึกที่ยากที่จะบรรยาย

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท