TU LIBS
นาง ศรีจันทร์ จันทร์ชีวะ

การบรรยายพิเศษ เรื่อง งานได้ผล คนเป็นสุข


การปรับเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองเพื่อให้การดำเนินชีวิตและการปฏิบัติงานอยู่ในที่ทำงานได้อย่างมีความสุข การปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองในเชิงบวก

              วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 บุคลากรสำนักหอสมุดจะเข้าร่วมฟังบรรยาย เรื่อง งานได้ผล คนเป็นสุข เวลา 9.00-12.00 น. ณ ห้องสัมมนา 3 สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มธ.ศูนย์รังสิต โดยเฉพาะหอสมุดป๋วยฯ ไปฟังกัน 14 คน ได้แก่ นางลิ้นจี่       จิตรีเชื้อ    นางฐิติการณ์ สะแกงาม     นางวันเพ็ญ ตุ้มเขียว  นางวันดี   ชิงดวง            นางสาวอัชรา แซ่เฮ้ง      นายเสกสรร พันธุ์รัตน์  นางพงษ์ลดา เอี่ยมเยี่ยม  นางสาวเลวง  นุ่นชูคันธ์  นายเสงี่ยม อรรคศรีวร  นายอุทัย ขันธมาลัย                    นายสุนันท์ ระดมกิจ   นายวิโรจน์ สาครชาติ    นายสุดใจ กอบแก้ว  และนางอุไร  ภูมิดิษฐ์ 

              วิทยากรคือพลอากาศตรี นายแพทย์บุญเลิศ  จุลเกียรติ อดีตผู้อำนวยการ โรงพยาบาล ภูมิพลฯ ฟังบรรยายตอนแรกคิดว่าจะต้องหลับแน่ๆ  เพราะแรกๆจะพูดเรื่องเกี่ยวกับศาสนา  แต่เชื่อไหมไม่มีใครกล้าหลับเลย เพราะวิทยากรเดินไปเดินมา  หากใครทำท่าจะหลับ  ท่านจะเดินไปยืนอยู่ที่หน้าคนนั้นเลย  ไม่มีใครหลับ  แถมพูดสนุกด้วย อัธยาศัยดี ในวันนั้น ถ้าไม่ได้ไปเข้าฟัง คงจะรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก คุณหมอสะกดให้นั่งฟังจนลืมเวลาไปเลย ฝีมือการทำเสียงต่ำเสียงสูง เหมือนกับนักพาย์หนังชั้นเซียน การเดินไปรอบๆห้อง เพื่อให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเป็นกันเอง และมีส่วนร่วม โดยเฉพาะฝีมือการฉาย Presentation โปรแกรม Microsoft PowerPoint ที่ยังไม่เคยเจอใครที่สามารถควบคุมทั้งจังหวะเวลา อารมณ์ และน้ำเสียง ได้พอเหมาะพอเจาะ เหมือนที่หมอทำได้เลย หรือนี่จะเป็นเพราะทั้งประสบการณ์หลายปีในการทำงาน และใช้ชีวิตหลากหลายพื้นที่หลายต่อหลายประเทศของคุณหมอ ที่มีส่วนให้มีความคล่องตัวและน่าสนใจหรือจะด้วยมันสมองอันเป็นเลิศที่หาใครเทียบได้กันแน่  มีการผสมผสานเปรียบเทียบในเรื่องศาสนาให้ฟัง ไม่น่าเบื่อเลย  สนุกดี  มีการแจกซีดีผู้ตอบปัญหาด้วย  และมุขฮาอีกอย่างคือวิทยากรได้ให้ผู้เข้าฟังตอบปัญหา  เมื่อตอบเสร็จท่านก็บอกว่าคนนี้อนาคตจะเป็นนักบิน  เพื่อนๆในห้องก็สงสัยว่าจะเป็นนักบินได้อย่างไร  เพราะทำงานห้องสมุดไม่มีความรู้เรื่องบินเลย  ปรากฏว่าท่านเฉลยว่าเป็นนักบิณฑบาต  ทั้งห้องเลยเฮกันใหญ่เลย เอาละมาเข้าเรื่องที่ได้ไปฟังมาดีกว่า 

             การบรรยายจะเน้นไปทางธรรมะ ใช้คำง่ายๆมาอธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจโดยสอดแทรกคำสอนทางศาสนาแต่ละศาสนาให้เข้าใจในหลักศาสนามากยิ่งขึ้น    จริงอยู่ที่แต่ละศาสนาสอนให้ “ทุกคนเป็นคนดี ทำดีได้ดี “ แต่คุณหมอบอกว่าความจริงควรเปลี่ยนเป็น ”ทำดีได้ความดี” แทน เพราะใครที่ทำดี ก็ต้องได้กรรมดี หรือความดีตอบสนองแทนให้คนๆนั้น ไป คุณหมอยิงคำถามแบบกำปั้นทุบดินแต่คำตอบน่าฟังว่า ว่า “คนเราเกิดมาทำไม” ชีวิตคนเราต้องมีจุดหมาย อาจมีใครส่งเรามาเกิด บางคนท้อ บางคนทุกข์ แต่ถ้าใครสามารถค้นพบว่าตัวเองเกิดมาเพื่อทำอะไรเพื่อใครและทำสิ่งๆนั้นไปด้วยหลักการ 5 ข้อ เพื่อให้ทุกคนรู้จักตนเอง  และปฏิบัติตนด้วยการมี*สติ  เมื่อมีสติก็จะเกิด*ปัญญา และต้องมี *ศรัทธา  สร้างแต่  *กุศลธรรม  และเดิน *สายกลาง  ถ้าทำได้ชีวิตจะมีแต่ความสุข  ทุกข์ไม่มี  ด้วยวิธีสอนให้เราจำนิ้ว เป็นหลักจำง่ายขึ้นว่า

1.สติ แทนด้วย นิ้วโป้ง คือการทำสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างรู้เท่าทัน

2. ปัญญา  แทนด้วย นิ้วชี้ คือสิ่งที่ทำต้องควบคุมได้ด้วยปัญญาที่มี

3. ศรัทธา แทนด้วย นิ้วกลาง  คือความเชื่อมั่นในการทำสิ่งที่ดี

4. กุศลกรรม แทนด้วย นิ้วนาง คือการทำสิ่งที่ดีกรรมดีและความดีที่ดืทำ

5. ทางสายกลางแทนด้วย นิ้วก้อย ไม่หย่อนไม่ตึงดึงพอดีไม่มีเพี๊ยน แบบสายกีต้าร์

              นอกจากนี้ได้ให้ทุกคนคิดว่าถ้ามีทางเลือก 3  ทาง จะเลือกทางไหน ได้แก่

1. มีชีวิตอยู่แบบ มีความทุกข์มากกว่าความสุข  แล้วก็ตายไป

2. มีชีวิตอยู่แบบมีความทุกข์เท่ากับความสุข  แล้วก็ตายไป

3. มีชีวิตอยู่แบบมีความสุขมากกว่าความทุกข์  แล้วก็ตายไป

ถ้าใครอยากมีชีวิตอยู่แบบมีความสุขมากกว่าความทุกข์  จะต้องใช้ชีวิตอยู่กับกิเลสและตัณหาอย่างรู้เท่าทัน  เราเกิดมาเพื่อ…

        -  รู้จักตนเอง

        -  เพื่อพัฒนาตนเอง

        -  เพื่อแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี

        -  เพื่อการเสพสุขอย่างรู้ทัน

        -  เพื่อโอกาสได้แบ่งปันความโชคดีให้ผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่า

              ถึงแม้เราจะเลือกเกิดไม่ได้แต่สามารถพัฒนาตนเองได้ และเลือกที่จะเป็นคนดีที่มีความสุข อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะเกิดมายากจนหรือเกิดมาพิการก็ตาม ทุกคนล้วนเกิดมาสุขและทุกข์ไม่เท่ากัน ทุกอย่างล้วนเกิดแต่เหตุและปัจจัย  บางคนไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเพราะกรรมไม่เห็นทันตา ผลกรรมจะส่งผลนั้นก็อาศัยเหตุปัจจัยด้วยเหมือนกัน กรรมชั่วหรือกรรมดีก็รอโอกาสให้ผลรอเวลาเหมือนกันคนทำชั่วบุญเก่ายังมีคุ้มอยู่ผลของกรรมชั่วก็ต้องรอโอกาสให้ผล คนที่ทำดีก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ผลดี ได้แน่นอนแต่ก็ต้องรอโอกาสเหมือนกัน แต่วันนี้ก็ขอให้ทำดีตลอดไป ถ้ายังไม่ได้รับผลดีต้องถามตัวเองว่า

-ทำดีพอหรือยัง หรือยังทำดีไม่พอ

-ทำดีไม่ถูกกาลเทศะ  

-ทำดีไม่สม่ำเสมอและไม่ต่อเนื่อง

และรวมทั้งหมดนี้ต้องไม่เป็นการทำดีเอาหน้า

              คนที่เป็นทุกข์กันมากก็เพราะการติดยึดไว้ว่าเป็นตัวกูของกู ฉะนั้นต้องเข้าใจ ไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกสิ่งในโลกย่อมมีการแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทุกขัง ความเป็นทุกข์ คือ มีความบีบคั้นด้วยอำนาจของธรรมชาติทำให้ทุกสิ่งไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป และ อนัตตา ความที่ทุกสิ่งไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามต้องการได้ เช่น ไม่สามารถบังคับให้ชีวิตยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไป ไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นไปตามปรารถนา เป็นต้น

              มาเข้าเรื่อง งานได้ผล คนเป็นสุข   และงานไม่ได้ผล  แต่คนไม่เป็นทุกข์  คือทุกคน ต้องพึ่งพาอาศัยกัน มีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกันแต่มีความสัมพันธ์กันทุกคน เช่น วิทยากรถนัดในเรื่องบรรยาย แต่ซ่อมแอร์ไม่เป็น  ถ้าแอร์เสียก็ต้องพึ่งช่างแอร์มาซ่อมให้ถ้าไม่มีใครซ่อมก็บรรยายไม่ได้เพราะอากาศร้อน  ถ้าทุกคนในโลกนี้รักกันมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวหรือในที่ทำงาน ตรงกันข้าม การทำงานที่ได้ผล  แต่คนก็เป็นทุกข์ ก็เพราะคนมัวแต่อิจฉา  ริษยา  หมั่นไส้ มีอคติต่อกัน ก็จะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ ดังนั้นจงอย่าทุกข์เพราะความผิดของผู้อื่น แต่จงทุกข์เพราะความผิดของตนเอง   

              ประโยชน์ที่ได้รับจากการฟังบรรยายคือ ได้นำมาใช้ได้กับชีวิตประจำวันสามารถทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าความทุกข์ ได้ข้อคิดดีๆ คติดีๆมาใช้กับการทำงาน  เพื่อนร่วมงาน  และครอบครัว ทำให้ปรับเปลี่ยนทัศนคติ  วิธีคิด  มุมมองต่างๆ เพื่อเสริมสร้างพลังใจในการทำงาน และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้ เช่น เรื่องการมีน้ำใจ การแบ่งปันความโชคดีให้ผู้อื่น  การให้เกียรติ การให้ความรัก การมีความเข้าใจ และการทำงานแบบวิธีฉลาด โดยการสร้างคุณค่าให้ตนเอง  เรียนให้รู้จริง  ทำจริง  การรับผิดชอบหน้าที่การงาน  เป็นต้น 

               สรุปคือ การทำอะไรด้วยการตั้งมั่น อย่างมีสติรู้เท่าทันปัญญา มีจิตใจถึงพร้อมด้วยความเมตตาเห็นใจดีใจ และมีสุขที่เห็นผู้อื่นมีดีได้ดี และวางความเป็นกลางอย่างพอดี  นี่ล่ะความหมายของการมีชีวิต ได้มีชีวิต ได้ทำงานอย่างมีความสุข ไม่ใช่งานได้ผลแต่คนเป็นทุกข์

               สติ ปัญญา ศรัทธา กุศลกรรม และทางสายกลาง เป็นเรื่องที่อาจจะอธิบายเป็นรูปธรรมได้ยากกว่านี้เข้าใจยากกว่านี้ แต่หลังจากที่เดินออกมาจากห้องบรรยายในวันนั้น ถึงเข้าใจถึงจะไม่ถ่องแท้ แต่ก็พูดได้ว่าเข้าใจมากขึ้น  บอกกับตัวเองว่าโชคดีมากที่ได้ไปฟังบรรยายในครั้งนี้ เดินออกมาจากห้องบรรยายด้วยความรู้และความเข้าใจตัวเองและชีวิตมากขึ้นหยักในสมองเพิ่มขึ้น แต่กลับรู้สึกเบาสบาย  สบายใจยิ่งกว่าตอนที่เดินเข้าไปตอนเช้าเสียอีก ขอบคุณคุณหมอ ขอบคุณหัวหน้าที่ส่งมาฟังบรรยาย  ขอบคุณจริงๆ

หมายเลขบันทึก: 332514เขียนเมื่อ 30 มกราคม 2010 16:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 21:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท