เมื่อวานนี้ขณะร่วมประชุมถ่ายทอดองค์ความรู้ในการวางแผนการดำเนินกิจกรรมให้องค์กรเอกชนหนึ่ง ..มีบางความรู้สึกเกิดขัดแย้งขึ้นในใจ.. แต่ยังไม่ได้มีเวลาคิดต่อ พอเมื่อกลับถึงบ้านมีเวลาย่อยความรู้สึกนั้น จึงเป็นที่มาของคำถามบางอย่างในใจ ?
เราเรียนรู้ประสบการณ์รวมถึงความผิดพลาดในการแสวงหาองค์ความรู้ในอดีต
เพื่อ “ต่อยอด”องค์ความรู้นั้น ไม่ใช่หรือ ?
วิธีการแสวงหาองค์ความรู้หนึ่งในอดีต
อาจดีที่สุดสำหรับเวลานั้นๆ แล้ว แต่การมีจุดเริ่มต้นของวันนั้น
แม้จะมีความผิดพลาดมากมาย แต่ก็ทำให้มีก้าวต่อมาขององค์ความรู้ใหม่ๆ
ถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่หรือ ?
ฉันนึกย้อนไปถึงโครงการช่วยเหลือคนไทยไร้สัญชาติกลุ่มหนึ่ง
ในภาคอีสาน ที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่าโครงการหมันขาว
ที่มีปัญหาติดค้างกว่า ๑๐ ปี
นับแต่วันที่มีมติคณะรัฐมนตรีให้แปลงสัญชาติไทยให้ชาวบ้านหลายร้อยคน
เมื่อทราบปัญหา เราก็เริ่มต้นควานหาต้นตอของปัญหา
ร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาเปลาะที่ ๑
คือให้พวกเขาได้รับเอกสารพิสูจน์ตนของพวกเขา
ที่ถูกเก็บไว้ที่ส่วนราชการมานับ ๑๐ ปี
ให้ชาวบ้านถือไว้กับตัวในเบื้องต้น
เพื่อไม่ต้องถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน
โดยวิธีการให้บรรลุเป้าหมายนี้
เราได้จัดประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งส่วนกลาง
ส่วนภูมิภาค ข้ามกรมข้ามกระทรวง รวมทั้งฝ่ายนโยบาย ฝ่ายการเมือง
ส่งผลให้มีคำสั่งแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านจากส่วนกลาง
ที่ตัดทอนขั้นตอนราชการไปมากมาย ทำให้ปัญหาเปลาะที่ ๑
แก้ไขไปได้หลังจากการจัดประชุมใหญ่ ๒ ครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่ถึง ๔
เดือน
แม้ครั้งนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดที่ให้ชาวบ้านได้รับการแปลงสัญชาติไทยตามนโยบายได้ แต่สำหรับข้อจำกัดของคนทำงาน เวลา ความรู้ รวมถึงการเมืองที่ไม่อาจควบคุมได้ ก็ทำให้เราทำสำเร็จเพียงเปลาะที่ ๑ ในเวลานั้น ก่อนทีมงานจะแยกย้ายกันไปมีชีวิตแง่มุมอื่นของแต่ละคน...
ฉันคิดถึง "มนุษย์หินฟริ้นสโตน" ขี้นมา
เพราะอย่างน้อยฉันก็อดชื่นชมกับพวกเขาไม่ได้ว่า
ถ้าพวกเขาไม่คว้าไม้กระบองขึ้นมาเป็นอาวุธ ณ วันนี้ เราก็คงไม่มีปืน
ระเบิด หรืออาวุธร้ายแรงที่ไว้เข่นฆ่ากันอย่างเช่นยุคสมัยนี้
...
ฉันคงไม่คิดโทษว่า ทำไมตอนนั้นฟริ้นสโตนไม่รู้จักใช้ปืน
หรือมัวแต่โทษตัวเองว่าทำไมฉันจึงไม่สอนให้ฟริ้นสโตนใช้ปืน
ทำไมปล่อยให้ใช้ไม้กระบองอยู่ได้ สู้ใครก็ไม่ได้ แก้ปัญหาไม่สำเร็จ
...
อย่างน้อย ฉันคงคิดขอบคุณฟริ้นสโตนที่เริ่มต้นคิดคว้าไม้กระบองขึ้นมา
เพื่อให้คนรุ่นต่อๆ มาได้ต่อยอดองค์ความรู้ในการใช้อาวุธโลหะ
และพัฒนาเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ...
ถ้าเป็นคนยุคไอทีมองย้อนกลับไปหัวเราะฟริ้นสโตน คงยังไม่น่าน้อยใจเท่าคนยุคเดียวกันที่เรียนรู้การใช้กระบองด้วยกัน มาต่อว่ากันเอง
พูดอย่างนี้ไม่ใช่จะไม่ยอมรับความผิดพลาดในอดีต
แต่แค่มีคำถามว่า “ญาณวิทยา” มีข้อจำกัดเรื่องเวลาด้วยหรือไม่
?
ญานวิทยามีข้อจำกัดในหลายมิติ ทั้งเวลา สถานที่ สถานะ และรูปแบบ
อย่างเช่น ความรู้ในหิมะของคนในเขตร้อน กับคนในเขตหนาวไม่อาจลึกซึ้งเท่ากัน เพราะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ฝ่ายหนึ่งไม่อาจมีประสบการณ์ตรง แต่อีกฝ่ายมีประสบการณ์ตรงได้
ข้อจำกัดเรื่องเวลาในเรื่องการจัดการปัญหาความไร้รัฐของบุคคล ก็มีข้อจำกัดเชิงเวลาอยู่มาก อาทิ สูติบัตร ซึ่งเกิดในราว พ.ศ.๒๔๙๙ ดังนั้น การที่อำเภอเรียกร้องให้คนเกิดก่อน พ.ศ.๒๔๙๙ มีสูติบัตร ก็คงตลกดี
ญานวิทยามีข้อจำกัดในหลายมิติ ทั้งเวลา สถานที่ สถานะ และรูปแบบ
อย่างเช่น ความรู้ในหิมะของคนในเขตร้อน กับคนในเขตหนาวไม่อาจลึกซึ้งเท่ากัน เพราะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ฝ่ายหนึ่งไม่อาจมีประสบการณ์ตรง แต่อีกฝ่ายมีประสบการณ์ตรงได้
ข้อจำกัดเรื่องเวลาในเรื่องการจัดการปัญหาความไร้รัฐของบุคคล ก็มีข้อจำกัดเชิงเวลาอยู่มาก อาทิ สูติบัตร ซึ่งเกิดในราว พ.ศ.๒๔๙๙ ดังนั้น การที่อำเภอเรียกร้องให้คนเกิดก่อน พ.ศ.๒๔๙๙ มีสูติบัตร ก็คงตลกดี