ผมได้มีโอกาสเข้าฟัง “กลวิธีการปรับปรุงหลักสูตรระดับปริญญาตรีของโรงเรียนกิจกรรมบำบัด University of South Australia” จึงได้กลับมานั่งคิดทบทวนกับการเขียนหลักสูตรกิจกรรมบำบัดของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ตนเองต้องกลับไปใช้ทุนรัฐบาล ก็พบว่านักศึกษาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ เช่น กิจกรรมบำบัด กายภาพบำบัด ที่กำลังศึกษาในเมืองไทยช่วงสองปีแรกนั้น เรียนหนักมากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาวิทยาศาสตร์เบื้องต้นและวิชาแพทย์หลักๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาเหตุผลทางคลินิกในสองปีหลัง ขณะที่นักศึกษาที่ออสเตรเลียเริ่มเรียนวิชาแพทย์และวิชาพื้นฐานทางกิจกรรมบำบัดตั้งแต่ปีแรกเลย เป็นการเรียนแบบผสมผสานระหว่างการเรียนรู้แบบป้อนเนื้อหาหลัก (Criteria-context learning) และแบบคิดแก้ไขปัญหา (Problem based learning) ในการเรียนดังกล่าว อาจารย์จะเป็นผู้ส่งเสริมบรรยากาศของการเรียนรู้ (learning fascilitator) โดยเน้นสอบถามปัญหาของผู้เรียนมากกว่าทำให้ผู้เรียนต้องคอยจดเนื้อหาบรรยายเป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีโอกาสทบทวนปัญหาต่างๆในขณะที่เรียนเลย การเรียนในรูปแบบนี้มีข้อเสียหลายประการ คือ ผู้เรียนไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้เต็มที่และไม่เข้าใจการนำหลักการความรู้มาใช้ในการฝึกงานทางคลินิกในหลายๆสถานการณ์
การเรียนวิชาชีพทางการแพทย์ทุกสาขานั้น ควรเน้นพัฒนาแรงจูงใจในวิชาชีพของตนเอง (Professional motivation) และเพิ่มความคิดเชิงทักษะทางคลินิก (Clinical reasoning skills) ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนในปีแรก อีกประเด็นหนึ่งที่ผมได้รับจากการเข้าฟังบรรยายนี้ คือ การฝึกทักษะการสังเกต (Observation skills) ทั้งขั้นเบื้องต้นและขั้นสูง ตลอดการเรียนในหลายๆวิชาและหลายๆสถานการณ์
ยกตัวอย่างเช่น การให้โอกาสนักศึกษาปีหนึ่งเข้าสังเกตการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการไม่ซับซ้อน ในระยะแรกรับของนักศึกษารุ่นพี่ การสังเกตในขั้นนี้อยู่ในข้อจำกัดของการหาข้อมูลว่า “ผู้ป่วยท่านนี้มีความบกพร่องในการทำกิจกรรมการดำรงชีวิต (Human Occupation) ต่างจากผู้มีสุขภาพดีอย่างไร” และให้ตอบคำถามภายในใจของตนเองว่า “ถ้าตนเองได้ทำการรักษาผู้ป่วยรายนี้ จะมีข้อเหมือนหรือแตกต่างจากนักศึกษารุ่นพี่ท่านนี้หรือไม่อย่างไร”
การเรียนรู้แบบนี้ถือว่าเป็นการขัดเกลาจิตวิทยาและหล่อหลอมบุคลิกภาพของผู้เรียน กล่าวคือ นักศึกษาจะเข้าใจความเป็นตัวตนและรู้จักพัฒนาเชาวน์อารมณ์ (Emotional Quotient) ทำให้นักศึกษาคาดการณ์ถึงอนาคตของตนเองว่าจะต้องจบการศึกษาออกมารักษาผู้ป่วยที่ชีวิตที่ซับซ้อน มิใช่ว่ารักษาแค่โรคภัยไข้เจ็บ หากแต่ต้องรักษากิจกรรมการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้อื่น และอยู่ร่วมกับผู้อื่นภายในสังคมได้อย่างมีความสุข
นักศึกษาควรจะต้องพัฒนาทักษะการควบคุมอารมณ์ของตนเองต่อการแก้ไขปัญหาชีวิตอันซับซ้อน โดยเริ่มจากการสังเกตกิจกรรมการดำเนินชีวิตของตนเองว่ามีสุขภาวะที่ดีหรือยัง เมื่อนักศึกษามีสุขภาวะที่ดีก็ควรรู้จักกลวิธีของการประคับประคองคุณภาพชีวิตของการมีสุขภาวะที่ดีนั้น ต่อจากนั้นก็ถึงเวลาของการเริ่มสังเกตกิจกรรมการดำเนินชีวิตของคนใกล้ชิดหรือบุคคลอันเป็นที่รัก และพิจารณาความรู้ที่เหมาะสมทั้งทางวิชาชีพทางการแพทย์และกิจกรรมบำบัด มาประยุกต์ใช้กับบุคคลดังกล่าว พยายามสังเกตและบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบไม่ว่าจะเป็นประสบการเรียนรู้ที่ผิดพลาดหรือถูกต้องตามหลักวิชาการก็ตาม