เมื่อคืนหนูกลับมาถึงหอพักประมาณห้าทุ่มครึ่งทำกิจธุระส่วนตัว แล้วก็มานั่งถอดบทเรียน หนูเลือกย้ายโต๊ะและโน๊คบุ๊คออกมาที่ระเบียง อากาศเย็น ๆกำลังสบาย แต่พอนั่งไปนาน ๆ ก็รู้สึกหนาว จึงหยิบผ้าสี่เขา (ผ้าห่มของอีสานมักจะทอด้วยผ้าฝ้าย) เอามาห่ม นั่งพิมพ์ไปเรื่อย ๆ ทบทวนในตนเอง ภาพรวมก็สะท้อนชัดว่าหนูอ่อนภาวนา
อยากได้ของสูงแต่ไม่ค่อยจะลงทุน สร้างเหตุน้อยแต่อยากได้ผลมาก พอเขียนไปเรื่อย ๆ มองนาฬิกาตีสาม เสียงปลุกจากโทรศัพย์ดังเข้ามาแทรก หนูถามตนเองจะเขียนต่อ รึจะนอนก่อน
จึงตัดสินใจกับตนเองว่า ลองดู ลองไม่นอนดู (แต่หนูก็หลับมาในรถบ้างแล้วค่ะ) เขียนไปเรื่อย ๆ งานเสร็จประมาณตีสี่ มีเสียงแทรกมาว่าให้รางวัลตนเอง จึงเปิดละครย้อนหลังดู
เปิดแล้วเหมือนหลงเข้าไปในนั้น หลงนานทีเดียวค่ะ หกโมงเช้าท้องฟ้ายังไม่สว่างมีเสียงงอแงว่า ขออีกนิดค่อยไปวิ่ง เงยหน้ามาอีกทีโอ้เจ็ดโมงแล้ว สายแล้ว
หนูรู้สึกตกใจ กับการโดนกิเลสหลอกอีกแล้ว น่าเสียใจ วันหนึ่ง ๆ มีสติน้อยมาก ภาวนาสามชั่วโมงหลงไปสี่ชั่วโมง รวด
หนูอ่อนซ้อมจริง ๆค่ะ เหมือนพอขึ้นชกแล้วก็โดนน๊อคสบักสะบอม
หนูได้เรียนรู้ว่า ทุกครั้งที่หนูเดินทาง ง่ายมากที่หนูจะหลง ทำข้อวัตรตนเองไม่สมบูรณ์ หนูจึงนั้งลงทำวัตรเช้า เห็นใจตนเองที่ บีบคั้นว่าเดี๋ยวสายนะ แต่ก็มีอีกเสียงตะโกนออกมาว่า "ทีดูละคร ไม่เห็นจะกลัวสาย"
เหมือนเสียงข้างในมันทะเลาะกันเองค่ะ
หนูได้เรียนรู้ว่า "หนูเพียรไม่พอ สร้างเหตุไม่พอ กำลังใจยังอ่อนอยู่ แต่หลวงพี่ท่านให้คาถาดีมาว่า มันไม่เที่ยง อะไรก็ช่างรู้มันก็พอ"
สาย..เพราะไม่สาย
สาย..เพราะสาย
สาย..ใจที่อ่อนล้า
สาย..ตาที่พร่ามัว
สาย...จนเกินกว่าจะเห็นชัด
สาย..ไปไหมกับคำว่าถูกหลอก...ด้วยกิเลส
ทักทายขำขำครับ
ขอบพระคุณค่ะคุณ โมไนย พจน์
สำหรับคำว่า "สายที่ให้ความหมายไว้เตือนใจ"